TNN online ปักหมุดลงทุน 4 หุ้นเด่น ลดผลกระทบเงินเฟ้อสหรัฐฯ

TNN ONLINE

Wealth

ปักหมุดลงทุน 4 หุ้นเด่น ลดผลกระทบเงินเฟ้อสหรัฐฯ

ปักหมุดลงทุน 4 หุ้นเด่น  ลดผลกระทบเงินเฟ้อสหรัฐฯ

โบรกมองหุ้นไทยหลังสงกรานต์รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่ง หนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ย หวังการบริโภค-ท่องเที่ยวในประเทศชดเชยแรงกระแทกภายนอก จับตาประกาศงบไตรมาส 1/65- ตัวเลขโควิด มองกรอบสัปดาห์หน้า 1,660-1,700 จุด เน้นย่อตั้งรับกลุ่มที่อิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ชู 4 หุ้นเด็ด

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นหลังสงกรานต์คาดแกว่งกรอบ 1,660-1,700 จุด โดย อาจมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกเล็กน้อยจากประเด็นเงินเฟ้อสูงที่ส่งผลให้การดำเนินนโยบายของ FED มีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น (คาด FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ 0.5% ในการประชุม 3-4 พ.ค. นี้ และมีรายละเอียดการปรับลดงบดุลราว 9.5 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน) แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยได้ตอบรับปัจจัยนี้ไปในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นคาดจะกระทบ fund flow เพียงจำกัดเท่านั้น


ขณะที่ปัจจัยในประเทศมีความคาดหวังเชิงบวกมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของภาคบริโภค และท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นประเด็นที่เข้ามาชดเชยแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกได้ ทำให้จังหวะ SET ย่อตัวคาดจะมีแรงสะสมกลุ่มที่อิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ เข้าช่วยพยุงตลาด


ส่วนประเด็นที่ต้องติดตาม 1. การรายงานผลประกอบของบริษัทจดทะเบียน 1Q65 เริ่มกลุ่มแรก คือ กลุ่มธนาคารคาดอยู่ในเกณฑ์ดี 2. การขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นต่างๆ 


3. จับตาตัวเลขการติดเชื้อหลังผ่านพ้นเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ในช่วงถัดไป 4. สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน 5. การออกมาแสดงความคิดเห็นของประธาน FED สาขาต่างๆ ต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ และเงินเฟ้อในปัจจุบัน


ด้านกลยุทธ์การลงทุน : เน้นย่อตั้งรับกลุ่มที่อิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Plays) นำโดย กลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร


หุ้นเด่นแนะนำ : JMART  คาดกำไร1Q65 ยืนสูง QoQ, +25-30%YoY แรงหนุนหลักจาก JMT & SINGER ส่วน KBJ-Mobile จะกลับเข้าสู่ Growthphase หลังจากปรับโครงสร้างพร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและอัตราทำกำไร และมีโอกาสถูกเข้าคำนวณในดัชนี SET50 รอบกลางปี หนุนราคาหุ้นระยะสั้นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 75 บาท


หุ้นเด่นตัวต่อมา  :  AOT  คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวจาก 4 แสนคนปีที่แล้วเป็น 9ล้านคนในปีนี้ จะส่งผลให้ปีนี้AOT คาดขาดทุนเพียง 3,582ล้านบาท น้อยลงจากขาดทุน15,319 ล้านบาทในปีที่แล้ว และแนวโน้มกำไรจะกลับไปฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2567 ที่ระดับ 2.75หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงปี 2562  เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 73 บาท


หุ้นเด่นอีกตัว :  CPALL  คาดกำไร 1Q 65จะกลับมาเติบโต YOY ครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด โดยคาด SSSG ร้านเซเว่นฯ +10%จากการอุปโภคบริโภคฟื้นตัวและการปรับราคาสินค้า ขณะที่MAKRO และโลตัสจะได้ผลบวกจากการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคเช่นกัน  ผสานการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคจะฟื้นตัวดียิ่งขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 79 บาท


 หุ้นเด่นตัวสุดท้าย  :   KBANK  คาดค่าใช้จ่ายต้นทุนสินเชื่อลดลง ช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโต 8% ในปี 2565 ผสานValuation ที่ปัจจุบันเทรดเพียง PBV ที่ 0.74 เท่า (ถูกกว่าคู่แข่ง)และยังได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาขึ้นจากการถือหุ้นบจ.เมืองไทยประกันชีวิต 38% ส่วนวันที่ 18เมษานี้ จะขึ้น XD จ่ายปันผล2.75 บาทต่อหุ้นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 185 บาท


ที่มา   : นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) 

ภาพประกอบ  :  บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) 

ข่าวแนะนำ