TNN online กสิกรฯ คาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดเคลื่อนไหว1,670-1,735 จุด ทั้งปียังเสี่ยงเจอตลาดแพนิค

TNN ONLINE

Wealth

กสิกรฯ คาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดเคลื่อนไหว1,670-1,735 จุด ทั้งปียังเสี่ยงเจอตลาดแพนิค

กสิกรฯ คาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดเคลื่อนไหว1,670-1,735 จุด ทั้งปียังเสี่ยงเจอตลาดแพนิค

บล.กสิกรไทย มองเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี 2565 มีความเสี่ยงมากขึ้น จากแรงกดดันผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าอายุยาว ประเมินกรอบดัชนีสัปดาห์หน้ามีแนวรับอยู่ที่ 1,690 และ 1,670 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,720 และ 1,735 จุด

วันนี้(2 เม.ย.6) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (บล.กสิกรไทย) ประเมินหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า จะเคลื่อนไหวในกรอบดัชนีมีแนวรับอยู่ที่ 1,690 และ 1,670 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,720 และ 1,735 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2565 ของไทย สถานการณ์โรคโควิด-19 ทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน


ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขนำเข้าและส่งออก ยอดสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บันทึกการประชุมเฟด รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตและยอดค้าปลีกเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ของยูโรโซน


อย่างไรก็ตาม บล.กสิกรไทย ให้มุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 มีความเสี่ยงมากขึ้นจากสถานการณ์อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว หรือเรียกว่า  inverted Yield Curve ทั้งอายุ 5 ปี 10 ปี และ 30ปี ในสหรัฐที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทำให้กดดันเศรษฐกิจในระยะกลางมีปัญหาด้านการเติบโตและเป็นการ บ่งบองถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)ได้ดี


ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ที่แข็งกร้าวเพื่อกดอัตราเงินเฟ้อให้ลดลง จึงทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุมากกว่า 2 ปี เพิ่มขึ้นมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางมีปัญหา และยังเป็นสัญญาณที่แม่นยำมากในการมองเศรษฐกิจในระยะถัดไป เนื่องจากเป็นการสะท้อนมุมมองของนักลงทุนทั่วโลกผ่านตลาดพันธบัตรที่มีผู้ลงทุนจำนวนมาก และ FED ไม่สามารถกำกับทิศทางได้ 


สถานการณ์ดังกล่าวเป็นความท้าทายในการดำเนินนโยบาย FED ท่ามกลางสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอย และยิ่งเกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมาทำให้การดำเนินนโยบายทางการเงินไม่ง่าย รวมทั้งการลดขนาดงบดุลของ FED หรือ QT จะมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและสภาพคล่องในตลาดทุนที่มีความเสี่ยง ซึ่งส่งผลทำให้การคาดการณ์ อัตราผลตอบแทนต่อหุ้นต่อกำไร (P/E) ตลาดหุ้นมีการปรับลดลง สอดคล้องกับในช่วงปี 2561 ช่วงนั้น P/E ตลาดหุ้นไทยถูกปรับลงมา 1 ระดับ และไปตรงกับช่วงที่เกิด inverted Yield Curve


ส่วนมุมมองทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุด ที่ออกมา 30 มี.ค. ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวมากกว่าจะชะลอตัว แต่มองว่าไทยเป็นประเทศที่เปิดรับความเสี่ยงจากต่างประเทศมากจากการพึ่งพิงภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ดังนั้นจะเน้นพึ่งพิงการบริโภคภายในประเทศเหมือนจีนยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะโครงสร้างคนละอย่าง หากโลกเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยประเทศไทยจะหลีกหนีวัฎจักรนี้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งมองว่าภาพการลงทุนมีโอกาสที่เมื่อไปจุดเสี่ยงตรงนั้นอาจจะเจอตลาดหุ้นแพนิคภายในปีนี้ได้


สำหรับการลงทุนปีนี้ต้องจัดสรรการลงทุนให้ดีเน้นไม่ลงทุนเต็มพอร์ต 100 % และแบ่งสัดส่วนตามความสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน หากนักลงทุนสามารถเสี่ยงมากสามารถลงทุนสัดส่วน 60-70 % แต่หากรับความเสี่ยงได้น้อย 50-60 % เพื่อรองรับภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงแรงจากปัจจัยข้างต้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีเม็ดเงินรองรับ และไม่อยู่ในสภาวะที่เครียดจากตลาดหุ้น


ที่มา: บล.กสิกรไทย

ภาพประกอบ: AFP ,TNN Online 

ข่าวแนะนำ