โลจิสติกส์ไทยบูมขนส่ง-คลังสินค้าแชมป์เปิดกิจการสูงสุด
พาณิชย์แนะเอกชนใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคขยายตลาดต่างประเทศ ชี้ธุรกิจโลจิสติกส์ไทยบูมแห่เปิดกิจการใหม่คึกคัก ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าแชมป์สูงสุด
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ธุรกิจโลจิสติกส์ที่จดทะเบียนเปิดกิจการใหม่กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จำนวน 444 ราย เติบโต 39.6 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนการเปิดกิจการมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1. การขนส่งและขนถ่ายสินค้า จำนวน 244 ราย เติบโต 26.4 2.การขนส่งสินค้าทางถนน 68 ราย เติบโต 83.8 % และ 3.กิจกรรมตัวแทน รับจัดส่งสินค้า 33 ราย เติบโต 32%
สำหรับธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การบริหารจัดการด้านการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า เพื่อสนับสนุนการผลิตและกระจายสินค้าและวัตถุดิบ (TSIC 52291) ที่ในปี 63 มีรายได้รวม 87,240.63 ล้านบาท เติบโต 22.4 % จากเดิมเติบโต 2.8 % และในปี 64 มีนิติบุคคลธุรกิจการบริหารจัดการด้านการขนส่งฯ จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 207 ราย เพิ่มขึ้น 53.3% รวมการลงทุนเป็นมูลค่า 908.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 284 % เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ (ทุนจดทะเบียนสูงตั้งแต่ 10-500 ล้านบาท) 7 ราย ซึ่งมีการลงทุนรวม 71 % ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด
สำหรับธุรกิจการบริหารจัดการด้านการขนส่งฯ ที่ดำเนินกิจการอยู่ 1,276 ราย ส่วนใหญ่มีการจดทะเบียนกระจุกตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร คิดเป็นสัดส่วน 46% และปริมณฑล 20% (ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ) และพื้นที่เขต EEC 11 % ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดชลบุรี
โดยพบว่าในเขตจังหวัดชายแดน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อการค้าภูมิภาค ยังมีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจคลังสินค้าค่อนข้างน้อย เช่น เชียงราย (6 ราย) หนองคาย (7 ราย) บึงกาฬ (3 ราย) มุกดาหาร (4 ราย) และนครพนม (3 ราย) เป็นต้น ธุรกิจคลังสินค้าจึงเป็นโอกาสของนักธุรกิจหน้าใหม่ ยังมีพื้นที่ให้เข้ามาทำตลาดอีกมาก โดยผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงสถานที่ประกอบการเป็นหลักเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งของ รวมถึงการพัฒนารูปแบบคลังสินค้าให้ทันสมัย นำเทคโนโลยีมาใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตเพิ่มมากขึ้น
ส่วนของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ในเดือนมกราคม ปี 2565 ไทยมีมูลค่าการค้ารวม 1.51 ล้านล้านบาท เติบโต 27.7 % แบ่งเป็นการขนส่งทางเรือ สัดส่วน 66.5 % ของมูลค่าการค้ารวม เติบโต 30.4 % สินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันและก๊าซปิโตรเลียม ส่วนประกอบยานยนต์ และยานยนต์ เป็นต้น รองลงมา คือ การขนส่งทางอากาศ สัดส่วน 23 % สินค้าสำคัญ ได้แก่ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ และส่วนประกอบเครื่องจักร เป็นต้น การขนส่งทางถนน สัดส่วน 10.4 % สินค้าสำคัญ ได้แก่ หน่วยความจำคอมพิวเตอร์ เพชร และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น และการขนส่งทางราง สัดส่วน 0.1 % เช่น ยางสังเคราะห์ ยางธรรมชาติ และไม้อัด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 65 นั้น เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันและหนุนการส่งออกไทยให้ขยายตัวมากขึ้น โดยผู้ประกอบการด้านพิธีการทางศุลกากรและผู้ส่งออก ควรเร่งศึกษาสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ อาทิ 1.การลดอากร
ขาเข้าเพิ่มเติมจากความตกลง FTA อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว เช่น จีน ลดอากรยานยนต์ ภายใต้พิกัดศุลกากร 8703 สำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่ รถพยาบาล รถบรรทุกมินิบัส ซึ่งเป็น 1 ใน 10 สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปจีน เหลือ 15 % (ขณะที่ FTA อาเซียน-จีน มีอัตราอากร 25% )
ญี่ปุ่น ลดอากรเนื้อสัตว์ และส่วนอื่นของสัตว์ เช่น ตับสัตว์ ภายใต้พิกัดศุลกากร 1602 (พิกัดศุลกากร 1602 เป็นสินค้าสำคัญอันดับแรกที่ไทยส่งออกไปญี่ปุ่น) ระหว่างปี 2565-2567 เหลือ 5.625% 5.25% และ 4.875% ตามลำดับ (ขณะที่ FTA อาเซียน-ญี่ปุ่น มีอัตราอากร 6% )
2. การปรับลดระยะเวลาตรวจปล่อยสินค้าเร่งด่วนและสินค้าเน่าเสียง่าย ให้แล้วเสร็จภายใน 6 ชั่วโมง และสินค้าทั่วไปภายใน 48 ชั่วโมง และ3. กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules: PSRs) ที่เปิดโอกาสให้ใช้วัตถุดิบนอกภูมิภาคมากขึ้น และกฎการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าที่ครอบคลุม 15 ประเทศ ช่วยส่งเสริมการเป็นห่วงโซ่การผลิตร่วมในภูมิภาค RCEP
นอกจากนี้ ตามข้อตกลง RCEP ประเทศสมาชิก RCEP มีการเปิดตลาดให้ไทยเพิ่มเติมในธุรกิจบริการด้านการขนส่ง ดังนี้1.จีน: บริการตรวจสอบสินค้าที่ขนส่ง 2. เกาหลี: บริการซ่อมและบำรุงรักษาอากาศยาน และบริการซ่อมและบำรุงรักษาราง บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งทางราง 3.ญี่ปุ่น: การให้บริการอุตสาหกรรมทางอวกาศยาน
4. ออสเตรเลีย: บริการบรรจุภัณฑ์ และบริการไปรษณีย์ และ 5. นิวซีแลนด์: บริการเสริมของการขนส่งทางอากาศ อาทิ บริการซ่อมบำรุงรักษาอากาศยาน บริการคลังสินค้า บริการตัวแทนจัดเก็บสินค้า บริการลานจอด ในอากาศยาน และบริการสนับสนุนอื่นๆ เพื่อการขนส่งทางอากาศ ขณะที่ไทยเปิดตลาดให้สมาชิก RCEP เข้ามาลงทุนในธุรกิจบริการขนส่งเพิ่มเติม อาทิ บริการซ่อมบำรุงและซ่อมแซมอากาศยาน โดยอนุญาตให้ผู้ให้บริการของประเทศสมาชิก RCEP ถือหุ้นได้ร้อยละ 51 บริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมอุปกรณ์การขนส่งทางราง และบริการเก็บสินค้าและคลังสินค้าสำหรับสินค้าแช่เย็นและแช่แข็ง อนุญาตให้ถือหุ้นได้ร้อยละ 70 เป็นต้น ทั้งนี้ การเข้ามาลงทุนของต่างชาติ จะช่วยให้ไทยได้ประโยชน์จากการเป็นห่วงโซ่คุณค่าโลก ประกอบกับการขยายตัวของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่จะช่วยขยายการค้าการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ตามไปด้วย
สำหรับธุรกิจบริการโลจิสติกส์จะมีส่วนที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะ การขยายการค้ากับกลุ่มประเทศสมาชิก RCEP และการขยายตัวของธุรกิจโลจิสติกส์เพื่อเตรียมพร้อมรองรับรถไฟจีน-ลาว สำหรับภาครัฐจะต้องร่วมมือกันเร่งสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมกลยุทธ์การใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับการวางแผนการขนส่งทั้งในและระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า มีการติดตามสถานการณ์โลจิสติกส์อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาด้านธุรกิจบริการ และเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง