TNN online กูรูชี้สินทรัพย์เสี่ยงยังครองตลาด แนะคงน้ำหนักหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์

TNN ONLINE

Wealth

กูรูชี้สินทรัพย์เสี่ยงยังครองตลาด แนะคงน้ำหนักหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์

กูรูชี้สินทรัพย์เสี่ยงยังครองตลาด แนะคงน้ำหนักหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์

ทีเอ็มบีธนชาต ชี้ทิศทางการลงทุนปี 2565 สินทรัพย์เสี่ยงยังครองตลาด แม้ต้องเผชิญจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและสภาพคล่องในตลาดลดลง พร้อมแนะคงน้ำหนักหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์ กองทุนโดดเด่นเพื่อหาโอกาสทำกำไรในอนาคต

วันนี้( 22 ก.พ.65)  ในงาน สัมมนาออนไลน์ “ttb investment outlook 2022 : ผ่าทุกมิติการลงทุน...รู้ก่อนชัวร์กว่า” จัดโดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) ร่วมกับอพันธมิตร 4 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ได้แก่ บลจ.กรุงไทย บลจ.วรรณ บลจ.ทหารไทยอีสท์สปริง และ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) มาร่วมให้ความรู้ด้านการลงทุน  นางกิดาการ ชัฏสุวรรณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb)  กล่าวว่า  ภาพการลงทุนในปี 2565 สินทรัพย์เสี่ยงยังครองตลาด นักลงทุนจึงไม่ควรพลาดโอกาสในการลงทุน แม้จะมีความท้าทายที่ต้องเผชิญจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและสภาพคล่องในตลาดที่เริ่มจะลดน้อยลง หลังจากที่ธนาคารกลางในประเทศหลักกลับมาดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนในปีนี้ ทีมกลยุทธ์การลงทุนของทีเอ็มบีธนชาตยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทมากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล 


โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงได้ไปต่อในปี 2565 ได้แก่ 

1. จุดจบของสถานการณ์โควิด-19 ที่ใกล้เข้ามา นำพาไปสู่การกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 

2. สินทรัพย์เสี่ยงยังไปต่อได้ แม้นโยบายการเงินจะเข้มงวด แต่เนื่องจากสภาพคล่องในระบบไม่ได้หมดไปในทันที และธุรกิจมีเวลาในการปรับตัวล่วงหน้า ตลาดหุ้นโลกจึงยังมีแรงส่งให้ปรับตัวขึ้นต่อไปได้ 

3. แรงกระตุ้นจากนโยบายการคลังยังไม่หมดไป โดยเฉพาะในประเทศฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market: DM) ที่มีศักยภาพในการออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังมากกว่าฝั่งตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) ทำให้เศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังมีแนวโน้มขยายตัวอยู่ แม้ว่าอาจจะไม่เท่ากับปี 2564 โดยในภาพรวม ทีมกลยุทธ์การลงทุนของทีเอ็มบีธนชาตให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (Developed Market: DM) มากกว่าตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market: EM)


ซึ่งสินทรัพย์เสี่ยงที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ “หุ้น” โดยเฉพาะตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (DM) ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวในปีนี้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จึงแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้น DM อย่างต่อเนื่องผ่านกองทุน ttb smart port เป็น Core Portfolio และเสริมด้วยกองทุน TMB-ES-GCORE ที่เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่ม DM เพื่อเป็นการลงทุนระยะยาวและจะช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีผลตอบแทนที่เติบโตไปอย่างมั่นคง แม้ตลาดหุ้น DM จะมีความผันผวนค่อนข้างมากในช่วงนี้ จากท่าทีที่เข้มงวดของธนาคารกลาง แต่หัวใจสำคัญในการสร้างกำไรภายใต้ความผันผวน คือ การเลือกลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมให้ถูกจังหวะ (Sector Rotation) ซึ่งมองว่ากลุ่มวัฏจักร (Cyclical) ยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) ในช่วงครึ่งปีแรก  


ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ในช่วงไตรมาสแรกมองว่ายังไม่มีความน่าสนใจ โดยหุ้นจีนยังมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอลงจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด รวมถึงมีแนวโน้มที่จะถูกกดดันจากกฎระเบียบของทางการอยู่ในโมเมนตัมการลงทุนช่วงต้นปีนี้ จึงยังชี้ไปที่การลงทุนในหุ้นอินเดีย ที่ยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังจะมีความน่าสนใจมากขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงที่เริ่มผ่อนคลายลง 


 ด้านตลาดพันธบัตรที่พัฒนาแล้ว (Developed Market) การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “พันธบัตรรัฐบาล” เริ่มมีความน่าสนใจน้อยลง โดยเฉพาะพันธบัตรที่มีอายุยาวซึ่งจะได้รับผลกระทบทางลบมากจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนคือ ต้องลดอายุของตราสารโดยเฉลี่ยในพอร์ตการลงทุนลง และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนด้วยการลงทุนในตราสารประเภท Additional Tier 1 (AT1) และ High Yield Bond (HY) สำหรับตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ยังไม่คุ้มเสี่ยงในปีนี้ เนื่องจากปัจจัยโดยรวมก็ยังไม่สนับสนุนการลงทุน ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย โดยรวมแล้วไม่น่าสนใจมากนัก การลงทุนต้องอาศัยจังหวะเข้าลงทุนในพันธบัตรระยะกลางถึงยาวมากกว่า เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น


 ส่วน สินทรัพย์ทางเลือกหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย คือ น้ำมันดิบ เนื่องจากการหันมาใช้พลังงานทางเลือกแทนน้ำมันดิบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้ในปีนี้น้ำมันดิบจะยังเป็นที่ต้องการจากทั้งผู้บริโภคและธุรกิจต่าง ๆ ต่อไป จึงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบในปีนี้ ส่วนทองคำนั้น ความน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจะลดลงไป จึงไม่แนะนำให้ลงทุนทองคำในปีนี้ ขณะที่การลงทุนใน REITs มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ในช่วงต้นปีการลงทุนในสินทรัพย์กลุ่ม REITs ของประเทศไทยและสิงคโปร์ จะยังเผชิญแรงกดดันจากโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่ยังรุนแรง และเงินเฟ้อทั่วโลก แต่ในช่วงครึ่งปีหลังการลงทุนอาจมีความน่าสนใจมากขึ้น หากราคาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ


ที่มา :  ทีเอ็มบีธนชาต 

ภาพประกอบ : ChomPR พีอาร์  ทีเอ็มบีธนชาต 

 

ข่าวแนะนำ