โบรกมองหุ้นไทยปีเสือทะลุ 1,860 จุด เปิด 7 หุ้นเด่นปันผลสูง-กำไรงาม
โบรกมองหุ้นไทยไตรมาส1/65 ไปต่อ ชี้เป้าดัชนีแตะ 1,860 จุด ขณะที่กำไรบจ.พุ่ง 9.4 แสนล้านบาท EPS อยู่ที่ 81.80 บาทต่อหุ้น คาดเติบโต 11.2% หากเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่พื้นฐานแน่น-ปันผลสูง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1/65 ยังปรับขึ้นต่อ ปัจจัยหนุนมาจาก Forward Market Earning Yield Gap 2565F หรืออัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นเทียบผลตอบแทนพันธบัตรระยาว อยู่ที่ 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 3.9% และสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐมี Forward Market Earning Yield Gap 2565F อยู่ที่ 3.7% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) ภายใต้การปรับดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้ง
นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ระดับต่ำ 0.5% ตลอดปี และ เงินฝากออมทรัพย์และฝากประจำในระบบรวมกันล่าสุด อยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นปัจจัยหนุน ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (EPS Growth) ในปี 65 อยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท หรือ อยู่ที่ 81.8 บาทต่อหุ้น คาดเติบโต 11.2% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ คาดเติบโต 6% เป็นปัจจัยดึงดูด Fund Flow ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.5% จากปี 64 โต 1%
อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยอาจมีแรงกดดันช่วงสั้นๆ จากแรงขายกองทุน LTF ของปี 59 ที่ครบกำหนดไถ่ถอนราว 1.6-1.7 หมื่นล้านบาทในเดือนแรกของปี 65 จากเม็ดเงินซื้อสะสมตามมูลค่าตลาด 6.38 หมื่นล้านบาท โดยมีต้นทุนเชิงเปรียบเทียบอยู่ที่ 1,504 จุด แต่อีกฝั่งนึงจะมีแรงพยุงจาก Fund Flow ต่างชาติที่เริ่มเห็น Momentum ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้นในเดือน ธ.ค. 64 ราว 2.3 หมื่นล้านบาท และเริ่มเห็นการซื้อสุทธิต่อเนื่องในเดือน ม.ค. 65 จำนวน 10,000 กว่าล้าน ขณะที่การปรับลดวงเงิน QE และปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ จะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินหดหายไป
นอกจากนี้ต้องติดตามผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิดโอมิครอน หลังผู้ติดเชื้อในประเทศสูงขึ้น แต่เชื่อว่าผลกระทบจำกัด เนื่องจากเชื่อว่าภาครัฐจะไม่กลับไปล็อกดาวน์แบบเข้มงวดเหมือนในปี 63- 64 เนื่องจากสถานการณ์ปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน แตกต่างจากในอดีต ทั้งอัตราการฉีดวัคซีนเข็ม 1-2 ที่สูง 70% และท่าทีของรัฐบาลทั่วโลกที่ไม่จำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจเข้มงวด แต่เลือกจะจำกัดในบางพื้นที่ โดยรวมเชื่อว่าจะไม่เปิด Downside ต่อคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยและจีดีพีปีนี้
สำหรับกรอบเป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,810 - 1,860 จุด ภายใต้ระดับค่าเฉลี่ยของ Market Earning Yield Gap ที่ 3.9%, Bond Yield อายุ 1 ปี อยู่ในช่วง 0.5% - 0.62% โดยอิงตามกรอบ Bond Yield 1 ปี
ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้น Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า เช่น รับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง สินค้าโภคภัณฑ์ และธนาคารพาณิชย์เลี่ยงหุ้นในกลุ่มกัญชา กัญชง เนื่องจากValuation ไปไกลและมีความเสี่ยงสูง . สะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ และที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่น เช่น STEC ราคาเป้าหมาย 18 บาท IVLราคาเป้าหมาย 52 บาท SMT ราคาเป้าหมาย 8 บาท
รวมถึงหุ้นปันผลเด่นที่มีเกราะป้องกันจากอัตราดอกเบี้ย เช่น AP ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท TISCO ราคาเป้าหมาย 104 บาท (จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง) และ SCC ราคาเป้าหมาย 500 บาท ADVANC ราคาเป้าหมาย 245 บาท (จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง) ขณะที่หุ้นขนาดเล็กอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมเข้มกำกับการซื้อขาย เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนที่จะซื้อขายในหลักทรัพย์ที่สภาพการซื้อขายไม่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน
ที่มา :บล.เอเซีย พลัส
ภาพประกอบ :บล.เอเซีย พลัส