TNN online เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย ! รับมือการเงินโลกกลับทิศ

TNN ONLINE

Wealth

เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย ! รับมือการเงินโลกกลับทิศ

เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย ! รับมือการเงินโลกกลับทิศ

หุ้นไทยปีขาลยังเสี่ยงผันผวนหลังนโยบายการเงินโลกเปลี่ยนทิศ ผนวกโอมิครอนยังป่วนโลกไม่หยุด ขณะที่การเมืองระหว่างประเทศคุกกรุ่น ต้องวางกลยุทธ์การลงทุนรับมือกันอย่างไร โบรกค่ายไหนให้เป้าดัชนี และ EPS เท่าไหร่ ตามไปดูกันเลย

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับตลาดหุ้นไทยปีฉลูแม้จะผจญความยากลำบากจากการระบาดโควิดทั่วโลกและในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไปทุกหย่อมหญ้า ทั้งการท่องเที่ยว การส่งออก การบริโภค และการลงทุน ทำให้นักลงทุนลุ้นกันตัวโก่งว่าจะรอดหรือไม่รอด แต่สุดท้ายแล้วตลาดหุ้นไทยไม่ได้ทำให้นักลงทุนผิดหวัง โดยสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนในปีที่ผ่านมาเป็นกอบเป็นกำไม่ใช่น้อย หากเทียบกับสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างทองคำ และเงินฝาก


โดยตลาดหุ้นไทยปี 64 ให้ผลตอบการลงทุนสูงถึง 12% จากปีก่อนหน้าที่ติดลบไป 8% ซึ่งหากเทียบกับประเทศในเอเชียแล้ว ถือว่าหุ้นไทยปรับตัวได้แข็งแกร่ง นำหน้าตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่บวกขึ้นมา 9.6%  ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 5% จีน 5% ไต้หวัน 4.9% และฟิลิปปินส์ 2% ส่วนมาเลเซียติดลบไป 2%

    

แต่ถ้าเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าหุ้นไทยยังเทียบชั้นไม่ติด เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ดาวโจนส์ และ S&P 500) ให้ผลตอบแทนสูงถึง 26% ตลาดหุ้นยุโรป(ยูโรสต็อกซ์ 50) อยู่ที่ 20% และเยอรมัน 15% เนื่องจากหุ้นที่เทรดในตลาดพัฒนาแล้วส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยี ที่มีนวัตกรรมหรือมีการเติบโตตามเมกะเทรนด์ของโลก เช่น Face book, Apple, Amazon, Netflix, Google และ Microsoft แตกต่างจากหุ้นไทยที่อยู่ในโหมด Old Economy เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิมมาอย่างยาวนาน และมีการเติบโตช้า เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน สื่อสาร ค้าปลีก และขนส่ง


อย่างไรก็ตาม หากเทียบผลตอบแทนหุ้นไทยกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ก็สามารถเอาชนะได้เกือบทั้งหมด เช่น ทองคำ เงินฝาก หุ้นกู้ แต่พ่ายแพ้ให้กับบิทคอยท์ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 75% โดยการลงทุนพันธบัตรระยะสั้นเฉลี่ย 1 ปี ให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.52% และพันธบัตรอายุ 10ปี อยู่ที่ 1.9% ส่วนทองคำในปีนี้ ผลตอบแทนติดลบ 4.7%


สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีขาล จะรักษาแรงส่งในโหมดกระทิงได้ตามที่นักลงทุนตั้งความหวัง  หรือจะถอยหลังกลับเข้าสู่ภาวะตลาดหมีอีกครั้ง TNN Online ได้สัมภาษณ์บรรดากูรูตลาดทุน ซึ่งจะมีมุมมองอย่างไรบ้างนั้นตามไปดูกันเลย


เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย ! รับมือการเงินโลกกลับทิศ


เริ่มจากนายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองว่า  หุ้นไทยปีเสือไปต่อ แต่อัพไซด์ไม่มากเท่ากับปีวัวที่ผ่านมา  โดยประเมินดัชนีเป้าหมายของปี  อยู่ที่ระดับ 1,860 จุด (คำนวนจาก กำไรต่อหุ้น (EPS65F) คาดที่ระดับ 81.8 บาท/หุ้น เติบโตราว  11%YoY  เมื่อคูณกับ P/E ตามกลไก Market Earning Yield Gap เฉลี่ย 3.9% จะอยู่ที่ 22.73 เท่า)  นั่นหมายความว่าจะมีตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะมีอัพไซด์ในการปรับขึ้นราว 12.7%   


สำหรับครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนกว่าครึ่งหลังจาก 1. Covid-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์ Omicron เป็นความเสี่ยงสำหรับทุกตัวแปร  แต่อาจหักล้างได้ด้วยการเร่งฉีด  Vaccine  + ยารักษาโรคที่มีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง   


อย่างไรก็ตาม  หาก Covid-19  Omicron แพร่กระจายในไทย อิงคาดการณ์กระทรวงสาธารณสุขคาดหลังปีใหม่ผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นวันละ 1 หมื่นราย และกรณีเลวร้ายเพิ่ม 3 หมื่นราย เหมือนในปี 2564  ต้องติดตามว่าจะต้องนำไปสู่การจำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจ (Lockdown) อีกรอบจากรัฐบาลหรือไม่ หากเกิดขึ้นอีกครั้งก็จะเปิด Downside ในทางพื้นฐานในหลายแง่มุม ทั้งการ Revise คาดการณ์ลงทั้ง  GDP  Growth  ไทยที่ประเมินว่าจะเติบโต 3.5% yoy และกำไรบริษัทจดทะเบียน EPS65F คาดว่าอยู่ที่ระดับ 81.8 บาทต่อหุ้น จากปี 64 อยู่ที่ระดับ 73.6 บาทต่อหุ้น


2. แรงขายจากเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนด 7 ปี ขายออกมาในช่วงต้นปี  ประเมินว่าจะมียอดขายออกมา  1/4 หรือประมาณ  1.6 -1.7 หมื่นล้านบาท   แต่อาจหักล้างด้วย Fund Flow จากต่างชาติไหลเข้า จากแนวโน้มเงินบาทที่ไม่น่าเร่งอ่อนค่า หรือ แข็งค่ามากเกินไป  นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปมากแล้ว   อิงจากสัดส่วนการถือหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติล่าสุดอยุ่ที่ 23.2%  ถือว่าเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์   


3. ปัจจัยเชิงมหภาคที่สืบเนื่องจากปีที่ผ่านมาที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น  ประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์บริษัทอสังหาในจีน กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนต่ำกว่าคาด  การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ( Fed)  3 ครั้ง ๆ ละ 0.25%ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่านี้อีกหรือไม่  ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ทั้งสหรัฐ จีน และประเทศอื่นๆ  

 

ส่วนปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยนั้นมาจาก 2 ปัจจัยประกอบด้วย  1.  อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยคาดทรงตัวอยู่ที่ระดับ  0.5%ตลอดทั้งปี เนื่องจากเงินเฟ้อไทยต่ำ และเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวกลับไปเมื่อเทียบกับก่อนเกิด Covid   และเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทำให้การแสวงหาผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในยุคดอกเบี้ยต่ำ   คาดจะเป็นปัจจัยหนุนเงินไหลเข้า   2. นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจไทยยังมีต่อเนื่องในปีนี้  เช่น ช้อปดีมีคืน และคนละครึ่งเฟส 4  เป็นต้น


ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำสะสมหุ้นใน 2 ธีม เพื่อสร้างผลตอบแทนในปี  65  คือ 1. กลุ่มหุ้นปันผลเด่น แนะนำ  TISCO ราคาเป้าหมาย   104   บาท    SCC  ราคาเป้าหมาย 500  บาท    ADVANC ราคาเป้าหมาย  245  บาท   2. กลุ่มหุ้น Restart กำไรปีหน้าโดดเด่น แนะนำ  STEC ราคาเป้าหมาย  18  บาท    SMT ราคาเป้าหมาย  8 บาท 


เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย ! รับมือการเงินโลกกลับทิศ

 

สอดรับกับนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า เศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าประเทศอื่น เครื่องจักรหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ดังนั้นการที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดขึ้นดอกเบี้ย จะกดดันผ่านค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง และส่งผลต่อตลาดหุ้นได้

สำหรับกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ปี 65 ขึ้นอยู่กับการเปิดประเทศ โดยมองดัชนีไว้ที่ 1,700 ถึง 1,750 จุด อัพไซด์ไม่มาก ขึ้นกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเป็นหลัก แม้ว่าที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัด ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ในระดับสูง แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจเราไม่ได้โตเท่าเหมือนกับประเทศอื่น  

ส่วนหุ้นไทยไตรมาส 1/65 มีโอกาสผันผวน เกิดดาวน์ไซด์ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากมีการเปลี่ยนผ่านนโยบายทางการเงิน ที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งสหรัฐและยุโรป ลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์คิวอี และเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งจะเห็นความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดหุ้นโลก ขณะเดียวกัน ยังมีแรงกดดันจากความขัดแย้งด้านการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้น ตลอดจนแรงขาย LTF ที่ครบกำหนดในปี 65 วงเงิน 20,000 ล้านบาท รวมถึงการเลือกตั้งในประเทศ และสถานการณ์โควิดที่ลากยาว

ทั้งนี้มองว่าหุ้นไทยจะฟื้นตัวในไตรมาส 2/65 รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น ช้อปดีมีคืน คนละครึ่งเฟส 4 และถ้าการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาได้ ผลประกอบบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะเติบโตจากปีก่อนได้
   
ด้านการลงทุนจากต่างชาติ จากข้อมูลจะพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวม 6.9 แสนล้านบาท แต่ทางหยวนต้าฯ คาดว่าในปี 65 จะซื้อครั้งแรกในรอบ 6 ปี โดยประเมิน EPS อยู่ที่ 92 บาทต่อหุ้น โต 8% และเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,722 จุด โดยผลตอบแทนของดัชนีหุ้นไทยในสิ้นปี 65 จะอยู่ที่ราว 5-6% แต่ระ หว่างปีอาจจะมีการเหวี่ยงไปถึง 10% ได้ ดังนั้นนักลงทุนต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้น

   
อย่างไรก็ตาม  กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นกลุ่ม Domestic Play มากกว่า Global Play เช่น ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก อาหาร เครื่องดื่ม บันเทิง ท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์โดยหุ้นที่ชื่น ชอบคือ KBANK ราคาเป้าหมาย 180 บาท CPALL ราคาเป้าหมาย 69 บาท  AH ราคาเป้าหมาย  34.40  บาท TISCO ราคาเป้าหมาย 104  บาท SNNP ราคาเป้าหมาย  15.10 บาท




เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย ! รับมือการเงินโลกกลับทิศ


ขณะที่นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ มองว่า หุ้นไทยครึ่งแรกจะผันผวนมากกว่าครึ่งปีหลัง จากปัจจัยเสี่ยงที่มีอยู่หลายปัจจัย แต่ครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้ง และการท่องเที่ยวที่น่าจะฟื้นตัวได้ โดยมองไว้ 2 กรณี กรณีเลวร้ายโควิดลากยาวนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 65 จะอยู่ที่ 5-6 ล้านคน ส่วนกรณีที่จีนเปิดประเทศ โควิดคลี่คลาย นักท่องเที่ยวต่างชาติ จะอยู่ที่ 10 ล้านคน

    

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าหากโควิดลากยาว รัฐบาลไทยก็จะไม่กลับไปล็อกดาวน์ทั้งประเทศเหมือนก่อน แต่จะทำเฉพาะจุดที่มีปัญหา  โดยมองจีดีพีปี 65 ไว้ที่ 3.3% จากปี 64 ที่คาดโต 0.6% ขณะที่ประเมินกำไรบจ.โต 10% กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 95.8 บาทต่อหุ้น และเป้าดัชนีอยู่ที่ 1,720 จุด ส่วนหุ้นเด่นน่าลงทุนนำโดย TTB,EGCO,COM7,BAM และ ADVANC



เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย ! รับมือการเงินโลกกลับทิศ

 

ปิดท้ายด้วยมุมมองที่สวนทางจากนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์  (ประเทศไทย) ที่เห็นว่า หุ้นไทยครึ่งแรกจะเด่นกว่าครึ่งหลัง เนื่อง จากรัฐยังมีโครงการประชานิยมกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะเผชิญกับแรงกระแทกจากโควิด และแรงขาย LTF ที่ครบกำหนด 2 หมื่นกว่าล้านบาทก็ตาม

    

 ส่วนครึ่งปีหลังหุ้นไทยจะมีแรงกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ และสภาพคล่องในตลาดโลกที่ลดลงจากการลดคิวอีของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ยุโรป ตลอดจนความเสี่ยงจากโควิดที่มีต่อเศรษฐกิจโลก และปัญหาของเอเวอร์แกรนด์ที่ยังมีอะไรซ่อนอยู่ ขณะที่เศรษฐกิจจีนจะไม่ได้เติบโตร้อนแรงมากนัก

    

ทั้งนี้ กิมเอ็งฯ คาดดัชนีหุ้นไทยในปีหน้าไว้ที่ 1,750 จุด กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 94.20 บาท ส่วนกำไรบจ.จะเติบโต 13 %  โดยแนะนำทยอยซื้อหุ้นที่คาดว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก คือธนาคารพาณิชย์ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมีดาวเด่นคือ TTB ที่คาดว่ากำไรโต 25% 

    

ถัดมาเป็นค้าปลีก คือ CPN ราคาเป้าหมาย 60 บาท และอีกตัวที่น่าสนใจคือ WICE ราคาเป้าหมาย 22.10 บาท ASK ราคาเป้าหมาย 55 บาท  JMART ราคาเป้าหมาย 55 บาท และ SCC ราคาเป้าหมาย 520 บาท

    

การลงทุนปีเสือนักลงทุนคงต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น จากความผันผวนที่สูงมาก เพราะเป็นช่วงจุดเปลี่ยนจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่ำไปสู่ดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้สภาพคล่องลดลง และกระทบการลงทุน ขณะที่ปัจจัยโควิดยังคงตามหลอกหลอนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไม่หยุด 

    

ดังนั้น การลงทุนในปีขาลจึงต้องอาศัยการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ หรือหุ้นกลุ่มต่าง ๆ ไม่กระจุกในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่ทนต่อความผันผวนสูงได้ และหุ้นที่มีปันผลสูงเพื่อเป็นหลุมหลบภัย ในภาวะที่การเติบโตมีจำกัด แต่ความเสี่ยงเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น....


เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย ! รับมือการเงินโลกกลับทิศ


 ที่มา    : นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส 

             : นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) 

           : นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์  (ประเทศไทย) 

           : นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ 

ภาพประกอบ : พิกซาเบย์,บล.ทิสโก้  ,บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)  ,บล. หยวนต้า (ประเทศไทย),บล.เอเซีย พลัส ,TNNONLINE

ข่าวแนะนำ