TNN online อิหร่านลุ้นกลับมาส่งออกน้ำมัน ข้อตกลงนิวเคลียร์ใกล้บรรลุ

TNN ONLINE

วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน

อิหร่านลุ้นกลับมาส่งออกน้ำมัน ข้อตกลงนิวเคลียร์ใกล้บรรลุ

อิหร่านลุ้นกลับมาส่งออกน้ำมัน ข้อตกลงนิวเคลียร์ใกล้บรรลุ

ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ยังคงยืนในระดับสูงท่ามกลางปัจจัยหนุนจากความกังวลว่าเหตุขัดแย้งระหว่างรัสเซียและตียูเครน จะทำให้ปริมาณน้ำมันที่จะออกสู่ตลาดโลกเผชิญปัญหา ล่าสุด ต้องจับตาอีกหนึ่งตัวแปรที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนต่อทิศทางราคาน้ำมันในตอนนี้ นั่นก็คือ อิหร่านนั่นเอง

ปัจจัยติดตาม

1.อิหร่านลุ้นกลับมาส่งออกน้ำมัน ข้อตกลงนิวเคลียร์ใกล้บรรลุ

สำหรับอิหร่าน ถือเป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับ 4 ของโลก แต่การผลิตน้ำมันของอิหร่านได้ลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตรในปี 2561 หลังจากที่อดีตประนาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ในปี 2558 แต่ขณะนี้ อิหร่านกับชาติตะวันตก ได้กลับมารเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อีกครั้ง ซึ่งได้ดำเนินมาเป็นเวลา 10 เดือนแล้ว ซึ่งบรรดานักการทูตต่างเชื่อว่าขณะนี้ การเจรจามาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว


ขณะที่นายจาวาด โอจิ รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอิหร่านกล่าวว่า ทันทีที่การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ในกรุงเวียนนาได้ข้อสรุป อิหร่านจะสามารถกลับมาผลิตน้ำมัได้นเต็มศักยภาพได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน หรือคาดว่าจะผลิตได้ 3.8 ล้านบาร์เรล/วัน หากมีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร 


ก่อนหน้านี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐเคยกล่าวว่า การเจรจาทางอ้อมในประเด็นนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐและอิหร่านใกล้จะเข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้ว และที่ผ่านมา สหรัฐได้ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนต่ออิหร่านแล้ว แต่อิหร่านเรียกร้องให้สหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมด และให้การรับประกันว่าจะไม่มีการใช้มาตรการลงโทษอิหร่านต่อไปในอนาคต ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อาจส่งผลให้อิหร่านกลับมาส่งออกน้ำมันในตลาดโลกได้กว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งจะทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 1


2.สถิติชี้หุ้นมักขึ้นหลังเหตุขัดแย้ง "ซิตี้กรุ๊ป" เชียร์เป็นจังหวะซื้อ

ไปดูรายงานล่าสุดที่เปิดเผยโดยนักวิเคราะห์ของ "ซิตี้กรุ๊ป" ที่ได้ให้คำแนะนำนักลงทุนว่าจังหวะนี้ เป็นจังหวะเหมาะที่จะเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ  เนื่องจากสถิติบ่งชี้ว่าราคาหุ้นมักดีดตัวขึ้น หลังจากร่วงลงจากเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์


นายโรเบิร์ต บัคแลนด์ หัวหน้านักวิเคราะห์หุ้นของซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในยูเครน จะส่งผลกระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย และหุ้นสถาบันการเงินบางแห่งเท่านั้น ดังนั้น การที่ราคาหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวร่วงลง จึงเป็นจังหวะเหมาะสมในการเข้าไปซื้อ เพราะหลังจากเกิดวิกฤตการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์หลายครั้งที่ผ่านมา หุ้นในตลาดโลกมักดีดตัวกลับขึ้นมาได้ถึงร้อยละ 10 ถึงร้อยละ 20

          

นอกจากคำแนะนำแล้ว "ซิตี้กรุ๊ป" ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐ และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับโลก ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในขณะนี้ หลังเกิดวิกฤตการณ์ในยูเครน


ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของนายอีเลม เซนยุซ นักกลยุทธ์ด้านมหภาคของบริษัท Truist ที่ได้แนะนำให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นในขณะนี้ เนื่องจากสถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นมักดีดตัวขึ้น หลังจากร่วงลงจากเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เว้นแต่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่อย่างไรก็ตาม เขาเองก็มองว่า ความเสี่ยงในระยะใกล้ที่เศรษฐ


รายงานของ Truist ยังระบุว่า ราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่พุ่งขึ้น จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจยุโรป แต่สหรัฐจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าในอดีต เนื่องจากมีแหล่งพลังงานภายในประเทศ ดังนั้นบริษัท Truist จึงยังคงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐมากกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ


3.ต่างชาติซื้อหุ้นไทยกว่า 7 หมื่นล้าน สวนทางตลาดภูมิภาค

ถ้าย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จะพบว่าตลาดหุ้นไทย มีสัญญาณไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติอย่างชัดเจน ซึ่งทิศทางดังกล่าวถือว่าสวนทางตลาดหุ้นทั้งภูมิภาคเอเชีย ที่เผชิญการไหลออกของเงินทุนต่างชาติเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

          

ข้อมูลจาก Refinitiv ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับเม็ดเงินไหลเข้าจำนวน 1,880 ล้านดอลลาร์หรือราว 61,300 ล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณการไหลเข้าที่ต่อเนื่องจากเดือนมกราคม ที่ต่างชาติซื้อสุทธิราว  400 ล้านดอลลาร์หรือราว 13,000 ล้านบาท ทำให้เมื่อรวมเม็ดเงินจากกองทุนต่างชาติทั้ง 2 เดือน ผลปรากฏว่านับตั้งแต่ต้นปีนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวมกันแล้วกว่า 70,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นทิศทางที่สวนทางกับภูมิภาค เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในเดือนกุมภาพันธ์จำนวน 1,220 ล้านดอลลาร์


ทั้งนี้ Refinitiv เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างขาติขายสุทธิหุ้นเอเชียด้วยมูลค่า 6,900 ล้านดอลลาร์ในเดือนที่ผ่านมา โดยตลาดที่เผชิญแรงขายหลักๆ ก็ได้ในตลาดหุ้นไต้หวัน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินเดีย โดยนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไต้หวันมากที่สุด คิดเป็นวงเงิน 5,800 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดกับจีน นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติ ยังเทขายหุ้นอินเดียติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 คิดเป็นวงเงิน 4,740 ล้านดอลลาร์ โดยได้ปัจจัยลบจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ



#รัสเซียยูเครน #น้ำมัน #คว่ำบาตร #TNNWealth #TNNช่อง16

ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนทางไลน์

• Line @TNNWEALTH : https://lin.ee/TQ14oAe

• Facebook : https://www.facebook.com/TNNWealth

—————————————————————————

ติดตาม TNN Wealth ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่ 

• Website : https://bit.ly/TNNWealthWebsite

• Youtube : https://bit.ly/TNNWealthYoutube

• TikTok : https://bit.ly/TNNWealthTikTok

หรือดูรายการ Live ได้ทาง

https://www.facebook.com/TNN16LIVE/


ข่าวที่เกี่ยวข้อง