TNN online วิศวกรอเมริกัน สร้างเครื่อง X-Ray ใช้เอง หลังเสียค่ารักษาพยาบาลกว่า 2.3 ล้านบาท

TNN ONLINE

Tech

วิศวกรอเมริกัน สร้างเครื่อง X-Ray ใช้เอง หลังเสียค่ารักษาพยาบาลกว่า 2.3 ล้านบาท

วิศวกรอเมริกัน สร้างเครื่อง X-Ray ใช้เอง หลังเสียค่ารักษาพยาบาลกว่า 2.3 ล้านบาท

จ่ายแพงงั้นก็สร้างเองไปเลย เมื่อวิศวกรเป็นหนี้ค่ารักษาพยบาลกว่า 2.3 ล้านบาท เขาเลยทำเครื่อง X-Ray ไว้ใช้เองที่บ้าน

เป็นธรรมดาในต่างประเทศที่ค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างแพง คล้ายกับระบบโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย การไปทำเอ็กซ์เรย์บางครั้งอาจเสียค่าใช้จ่ายหลายพันบาทเลยทีเดียว อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกาเองมีประชาชนวัยทำงานกว่า 1 ใน 3 ที่มีหนี้เป็นส่วนของค่ารักษาพยาบาล


เช่นเดียวกับชายผู้นี้ William Osman เขามีหนี้เกือบ 70,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2.3 ล้านบาท จากการเข้ารับการรักษาพยาบาล ทั้งนี้ เนื่องจากประกันสุขภาพของเขาจะช่วยให้ William จ่ายแค่ 2,500 ดอลลาร์ (81,200 บาท) และเมื่อรวมกับค่าประกันรายปีที่ต้องจ่ายแล้วเป็นเงิน 8,500 ดอลลาร์ (276,000 บาท) ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมานิดนึงที่ไม่ต้องจ่ายในราคาเกินครึ่งแสนดอลลาร์




แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีประกันสุขภาพแบบเขา William กล่าวว่าถึงเขาจะต้องจ่ายเงินลดลง แต่เขาต้องนำของในบ้านมาขายเพื่อนำเงินไปจ่ายให้กับโรงพยาบาล และค่ารักษาของเขามันก็หมดไปกับการทำเอ็กซ์เรย์เสียด้วย เพราะฉะนั้น คราวนี้เขาจะสร้างเครื่องเอ็กซ์เรย์ขึ้นมาใช้เองเสียเลย


และด้วยความที่เขาเป็นวิศกรสุดบ้าระห่ำอยู่แล้วทำให้การสร้างเครื่องเอ็กซ์เยร์ DIY ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย William จัดการหาเครื่องจ่ายกระแสไฟ 60,000 โวลต์, หลอดรังสีเอกซ์เรย์มือสองที่ได้มาจากเครื่องเอ็กเรย์ช่องปากของร้านทันตกรรม, เครื่องตรวจวัดรังสี และแผ่นตะกั่วของใหญ่ ซึ่ง William บอกว่านี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยทำขึ้นมา

วิศวกรอเมริกัน สร้างเครื่อง X-Ray ใช้เอง หลังเสียค่ารักษาพยาบาลกว่า 2.3 ล้านบาท


เขาคาดหวังว่าเครื่องเอ็กซ์เรย์นี้น่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในครั้งหน้า ถ้าหากต้องทำเอ็กซ์เรย์อีกครั้ง William อาจเริ่มสแกนเองที่บ้านแล้วค่อยนำไปให้คุณหมอดูอีกครั้ง ก็จะเสียค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นที่แพงน้อยกว่านั่นเอง ถึงกระนั้นผู้เชี่ยวชาญก็ออกมาแสดงความเห็นว่า อุปกรณ์ของเขาค่อนข้างน่ากลัว และอาจทำให้ตัว William ได้รับรังสีมากกว่าการสแกนในโรงพยาบาล แล้วผู้อ่านมีความเห็นกันอย่างไรบ้าง?


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Iflscience

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง