สรุปงาน Apple Event 2020 พร้อมการเปิดตัว iPhone 12
สมาร์ทโฟนอันทรงพลังที่สุดในโลก ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว !!
หลังจากที่มีการคาดเดาสเปกกันไปต่าง ๆ นานาตามข่าวลือ เมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมา 14 ตุลาคม 2020 ทาง Apple ได้เปิดตัว iPhone 12 ในงาน Apple Event 2020 จะมีสเปกน่าสนใจอย่างไรบ้าง ไปชมกันเลย
โมเดลและการออกแบบ
iPhone 12 มีอยู่ด้วยกัน 4 โมเดล ได้แก่ iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max โดยทุกรุ่นจะมีการออกแบบตัวเครื่องให้มีขอบเหลี่ยมแบน คล้าย iPad Pro หรือ iPhone 5 และด้วยรูปทรงนี้ช่วยให้ตัวเครื่องมีความบางมากขึ้น 11% และมีน้ำหนักน้อยลง อีกทั้งยังมีขอบจอที่บางทำให้สามารถทำจอแสดงผลใหญ่ขึ้น โดยที่ตัวเครื่องยังมีขนาดเท่า ๆ เดิม
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
นอกจากเรื่องของรูปทรงแล้ว หน้าตาของ iPhone 12 ไม่ได้แตกต่างไปจาก iPhone 11 สักเท่าไร โดยยังคงเน้นการสั่งการแบบด้วยการสัมผัสเป็นหลัก, ไร้ปุ่ม Home, เน้นการใช้ Face ID, มีรอยแหว่ง หรือ Notch สำหรับตำแหน่งของกล้องหน้าเช่นเดิม ส่วนเรื่องของความทนทานของงานประกอบจะอยู่ในเรต IP68 กันน้ำลึก 6 เมตร ได้นาน 30 นาที
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
สำหรับ iPhone 12 Mini และ iPhone 12 จะเน้นสีสันที่สวยงาม ประกอบไปด้วย สีดำ, สีขาว, สีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงิน ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 Pro Max จะเน้นในเรื่องความหรูหรา จึงมีอยู่ด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีเงิน, สีทอง, สีแกรไฟต์ และสีน้ำเงินแปซิฟิก
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
จอแสดงผล
เชื่อว่าหลายคนน่าจะรอคอยการเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ และแน่นอนว่า Apple ไม่ทำให้ผิดหวัง iPhone 12 ทุกรุ่น ขยับไปใช้จอแสดงผล Super Retina XDR ที่ให้ความละเอียดในการแสดงผลขั้นต่ำ 1080p ขึ้นกับสัดส่วนของจอ อีกทั้งยังแสดงผลสวยสมจริง ค่า Contrast ratio กว้างถึง 2,000,000:1 และเป็นจอแบบ HDR Wide Color (P3) อีกด้วย
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
อีกจุดหนึ่งที่ Apple ภูมิใจนำเสนอ คือการเลือกใช้กระจก Ceramic shield โดยกล่าวว่าเป็นกระจกที่ทนทานที่สุดที่นำมาใช้ในสมาร์ทโฟน และมีความทนทานกว่าเดิมถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ขนาดจอแสดงผลของ iPhone 12 แต่ละโมเดล มีดังนี้
- iPhone 12 Mini 5.4 นิ้ว
- iPhone 12 6.1 นิ้ว
- iPhone 12 Pro 6.1 นิ้ว
- iPhone 12 Pro Max 6.7 นิ้ว
ชิปประมวลผล
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ความแรงของชิปประมวลผลหรือซีพียูของ iPhone ไม่เคยรองใคร และสำหรับ iPhone 12 กับชิป Apple A14 Bionic ก็มอบประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหนือกว่า ด้วยกระบวนการผลิตขนาด 5 นาโนเมตร ทำให้ชิปสามารถจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่า 11,800 ล้านตัว !!
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ภายในชิป Apple A14 Bionic ประกอบไปด้วยชิปประมวลผลกลางและชิปกราฟฟิก ที่ปรับปรุงความแรงให้มากกว่าชิปตัวท็อปจากสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นในตลาดถึง 50% ตอบโจทย์ทุกการเล่นเกม (แถมยังนำเสนอการเล่นเกม LOL: Wild Rift ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้) และส่วนชูโรงของชิป A14 นั้น คือหน่วยประมวลผล Neural Engine ที่เพิ่มแกนประมวลผลจากเดิม 8-Core ใน iPhone 11 กลายเป็น 16-Core ใน iPhone 12 ทำให้สามารถประมวลผลด้าน AI ได้เร็วขึ้นถึง 70%
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ส่วนหน่วยประมวลผลอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ใน Apple A14 Bionic คือ Image signal processor (ISP) ที่ได้รับการปรับปรงุงประสิทธิภาพเพื่อรองรับการอัดวิดีโอ 4K HDR Dolby Vision ซึ่งโดยปกติแล้วการประมวลผลวิดีโอระดับนี้ จะพบได้บนคอมพิวเตอร์ระดับโปรเท่านั้น
กล้องถ่ายรูป
ในส่วนของกล้องถ่ายรูปนั้น ขอกล่าวถึงกล้องหน้าก่อน สำหรับกล้องหน้าใน iPhone 12 จะเหมือนกันในทุกโมเดล โดยมีชื่อเรียกเท่ ๆ ว่า TrueDepth Camera ความละเอียด 12MP และรูรับแสง f/2.2 ฟีเจอร์โดยส่วนใหญ่ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือความสามารถในการเซลฟี่ตอนกลางคืน ซึ่งให้ความคมชัดและความสว่าง เหมาะกับการถ่ายภาพในงานปาร์ตี้ยามดึก อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Deep Fusion เก็บรายละเอียดของภาพยามค่ำคืนได้ดีขึ้นในระดับ HDR ต้องขอบคุณประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผล Neural Engine โฉมใหม่ในชิป A14
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ส่วนกล้องหลังนั้น จะต้องแยกระหว่างโมเดล non-Pro และโมเดล Pro โดยในโมเดล non-Pro จะมีกล้องหลังอยู่ 2 ตัว ได้แก่ เลนส์ Wide และเลนส์ Ultra-wide 12MP ส่วนโมเดล Pro จะเพิ่มเลนส์ Telephoto 12MP และ LiDAR Scanner เข้ามาด้วย
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
iPhone 12 Mini และ iPhone 12: ทั้งสองโมเดลนับว่ามีฟีเจอร์กล้องหลังที่เหมือนกัน ได้แก่ กล้อง Dual camera เลนส์ Ultra-Wide 12MP รูรับแสง f/2.4 ให้มุมกว้าง 120 องศา และเลนส์ Wide 12MP รูรับแสง f/1.6 สามารถซูมแบบออปติคัลได้ 2 เท่า และใช้ดิจิทัลซูมได้ 5 เท่า
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งาน Deep Fusion เพื่อการถ่ายภาพ HDR ตอนกลางคืน และรองรับเทคโนโลยี Smart HDR 3 เพื่อเก็บรายละเอียดของภาพที่มีความสว่างของฉากหลังเยอะ เช่น การถ่ายภาพใบหน้าบุคคล โดยที่ฉากหลังมีแสงแดดจ้า เทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความคมชัดของใบหน้าให้อย่างชาญฉลาด
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ทางด้านการอัดวิดีโอ จะสามารถทำได้ 4 ระดับ ได้แก่
- อัดวิดีโอ HDR with Dolby Vision @30
fps
- อัดวิดีโอ 4K @24 fps, 30 fps หรือ 60 fps
- อัดวิดีโอ 1080p HD @30 fps หรือ 60 fps
- อัดวิดีโอ 720p HD @30 fps
การอัดวิดีโอจะรองรับการซูมแบบออปติคัล 2 เท่า และซูมดิจิทัล 3 เท่า รวมถึงรองรับ OIS กันสั่นในเลนส์ Wide ด้วย
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max: แม้จะมีกล้องหลังเหมือนกัน 3 ตัว พร้อม LiDAR Scanner แต่รายละเอียดปลีกย่อยของกล้องหลังที่แตกต่างกันมี ดังนี้
- เลนส์ Ultra-Wide 12MP รูรับแสง f/2.4 มุมมองกว้าง 120 องศา
- เลนส์ Wide 12MP รูรับแสง f/1.6
- เลนส์ Telephoto 12MP รูรับแสง f/2.0 (iPhone 12 Pro) หรือ f/2.2 (iPhone 12 Pro Max)
- ซูมออปติคัล 2 เท่า, ระยะซูม 4 เท่า และซูมดิจิทัล 10 เท่า (iPhone 12 Pro)
- ซูมออปติคัล เข้า 2.5 เท่า - ออก 2 เท่า, ระยะซูม 5 เท่า และซูมดิจิทัล 12 เท่า (iPhone 12 Pro Max)
- กันสั่น OIS ด้วยเทคโนโลยี Sensor-shift แบบที่ใช้ในกล้องระดับโปร (iPhone 12 Pro Max)
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ส่วนฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาคือ LiDAR Scanner ซึ่งเป็นตัววัดระยะของวัตถุในสิ่งแวดล้อมสุดอัจฉริยะ ถึงขนาดที่ NASA จะนำไปใช้ในการกะระยะลงจอดของยานสำรวจดาวอังคารลำถัดไป ในสมาร์ทโฟนนอกจากจะนำไปใช้ในการวัดระยะหรือขนาดวัตถุ รวมถึงใช้ทำภาพ AR แล้ว ยังช่วยให้การโฟกัสเวลาถ่ายภาพกลางคืนได้ดีขึ้นอีกด้วย
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เหมาะสำหรับช่างภาพมืออาชีพ คือฟีเจอร์ Apple ProRAW ให้สามารถเก็บภาพถ่ายเป็นไฟล์ RAW ความละเอียดสูง เพื่อนำไปปรับแต่งใส่รายละเอียดด้วยโปรแกรมอื่นเพิ่มเติมได้อย่างไม่จำกัด
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
แบตเตอรี่, อุปกรณ์เสริม และ MagSafe
สำหรับแบตเตอรี่ของ iPhone 12 จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละโมเดล ดังนี้
iPhone
12 Pro |
iPhone 12 Pro Max |
iPhone 12 Mini |
iPhone 12 |
|
|
|
|
สิ่งที่ Apple ภูมิใจนำเสนอ คือการเพิ่มฟีเจอร์ MagSafe ซึ่งมีการใส่แถบแม่เหล็กมาให้ทางด้านหลังของตัวเครื่อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะกับแท่นชาร์จไร้สาย และนำไปใช้งานในด้านอื่น เช่น เคสแบบพิเศษหรือซองหนังแม่เหล็กเก็บบัตรเครดิต เป็นต้น
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ในการชาร์จแบตเตอรี่นั้น สามารถทำได้โดยชาร์จผ่านพอร์ต Lightning หรือชาร์จแบบไร้สาย รองรับการชาร์จไว 15W ด้วย MagSafe Wireless, 7.5W ด้วย Qi Wireless และ 20W จากอะแดปเตอร์ที่รองรับ
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
แล้ว Apple แถมอะแดปเตอร์ชาร์จมาให้หรือเปล่า? สิ่งนี้อาจทำให้สาวก iPhone มือใหม่อาจจะรู้สึกผิดหวัง เพราะทาง Apple ได้ตัดอะแดปเตอร์ชาร์จและหูฟังออกจากกล่อง เหลือไว้แต่เพียงตัวเครื่อง, คู่มือ และสายชาร์จ Lightning to USB-C โดยให้เหตุผลทางด้านสิ่งแวดล้อมและการลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์
เทคโนโลยี 5G
นับว่าเป็นไฮไลต์แรกของการเปิดตัว iPhone 12 สำหรับการรองรับ 5G นั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือช่วงคลื่นแบบ Sub-6GHz ที่มีความเร็วสูงกว่าสัญญาณ 4G ราว 2 เท่า และนิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ อีกรูปแบบหนึ่งคือ mmWave ซึ่งเร็วกว่าแบบ Sub-6GHz เสียอีก เพียงแต่ยังมีสัญญาณให้ใช้งานได้จำกัด
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
ปรากฏว่างานนี้ iPhone 12 ทุกโมเดลจะสามารถใช้งาน 5G ได้ทั้ง Sub‑6GHz และ mmWave ส่วนการเชื่อมต่ออื่น ๆ นั้น ได้แก่ Wi‑Fi 6 (802.11ax) with 2×2 MIMO, BT 5.0 และ NFC
ราคาและวันวางจำหน่าย
- iPhone 12 mini (64/128/256GB) ราคาเริ่มต้น
699 ดอลลาร์ หากรวมภาษีในไทยคาดว่าจะมีราคา 24,900 บาท
- iPhone 12 (64/128/256GB) ราคาเริ่มต้น 799 ดอลลาร์ หากรวมภาษีในไทยคาดว่าจะมีราคา 28,900 บาท
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
- iPhone 12 Pro (128/256/512GB)
ราคาเริ่มต้น 999 ดอลลาร์ หากรวมภาษีในไทยคาดว่าจะมีราคา 35,900 บาท
- iPhone 12 Pro Max (128/256/512GB) ราคาเริ่มต้น 1,099 ดอลลาร์ หากรวมภาษีในไทยคาดว่าจะมีราคา 39,900 บาท
ที่มาของภาพ Apple Event 2020
โดยกำหนดการวางจำหน่ายนั้น Apple
จะเริ่มเปิดจอง iPhone 12 และ iPhone 12
Pro ในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ พร้อมวางจำหน่ายวันที่
23 ตุลาคม ส่วน iPhone 12 Mini และ iPhone
12 Pro Max จะเปิดจองวันที่ 6 พฤศจิกายน
และวางจำหน่ายวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Apple