ผู้ใช้เตรียมเฮ ! EU บังคับแบตเตอรี่ต้องถอดเปลี่ยนเองได้
สหภาพยุโรป (EU) ออกกฎหมายใหม่จ่อบังคับให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกชนิดต้องใช้แบตเตอรี่แบบถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ใช่อุปกรณ์เสริม หวังลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
เชื่อเลยว่าผู้ใช้สมาร์ตโฟนหลายคน ๆ คงเคยประสบปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพกันอย่างแน่นอน ซึ่งขั้นตอนการเปลี่ยนแบตเตอรี่ในปัจจุบันยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายอยู่พอสมควร เพราะสมาร์ตโฟนหลายยี่ห้อไม่สามารถถอดฝาหลังเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง แต่ปัญหาดังกล่าวอาจจะหายไปในอนาคต
เพราะเมื่อวันพุธที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา สมาชิกรัฐสภายุโรป (Member of the European Parliament: MEPs) ได้อนุมัติให้ออกกฎหมายใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาให้ควบคุมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป และแกดจิต (Gadget) ต่าง ๆ รวมไปถึงสมาร์ตโฟนที่วางจำหน่ายในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป ต้องใช้ “แบตเตอรี่ที่ผูบริโภคสามารถถอดและเปลี่ยนได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม” เพื่อแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และมลพิษในสิ่งแวดล้อม
EU หวังแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
เหตุผลหลักที่สหภาพยุโรป (EU) หันมาออกกฎหมายควบคุมแบตเตอรี่ เป็นเพราะในปัจจุบันมีการใช้แบตเตอรี่เป็นจำนวนมาก ทั้งในโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป หรือแม้แต่ในจักรยานยนต์ไฟฟ้า เมื่อแบตเตอรี่หรืออุปกรณ์เสื่อมสภาพก็จะกลายมาเป็นขยะ ซึ่งแบตเตอรี่และบรรดาขยะอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นขยะอันตราย ประกอบไปด้วยสารเคมีอันตรายหลายชนิด เล่น ปรอท ตะกั่ว ต้องทิ้งแยกกับขยะทั่วไป หากทำลายไม่ถูกวิธีก็จะส่งผลกระทบทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ด้วยเหตุนี้ สหภาพยุโรปจึงหวังนำกฎหมายฉบับนี้มาบังคับใช้ให้ผู้ผลิตมีความรับผิดชอบในการใช้แบตเตอรี่มากขึ้น และลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และมลพิษในสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
นอกจากการควบคุมแบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือแล้ว กฎหมายดังกล่าวยังกำหนดให้รถยนต์ไฟฟ้า และยานพาหนะขนาดเล็ก เช่น สกูตเตอร์ไฟฟ้า ไปจนถึงแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ที่มีความจุมากกว่า 2kWh (2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ต้องผ่านเกณฑ์คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon footprint) หรือผ่านเกณฑ์ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วยปล่อยออกมา ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ และต้องติดฉลากระบุ Digital product passport หรือพาสปอร์ตผลิตภัณฑ์สินค้าดิจิทัล ซึ่งจะแสดงข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนำกลับมาใช้ใหม่ หรือรีไซเคิลได้มากน้อยขนาดไหนด้วยเช่นกัน
Apple เตรียมปวดหัวรอบสอง
อันที่จริงแล้ว กฎหมายฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้กับผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ทุกราย ที่วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป แต่บริษัทที่หลาย ๆ คนจับตามองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอย่างไรกับกฎหมายฉบับใหม่นี้ต่อไป คงหนีไม่พ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิล (Apple) ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งโดนบังคับให้เปลี่ยนพอร์ตชาร์จแบบ Lightning ในไอโฟน ให้เป็นพอร์ต USB-C ทั้งหมด ตามกฎหมายของสหภาพยุโรปไป
และในคราวนี้ ดูเหมือนว่าแอปเปิล รวมไปถึงผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายอื่น ๆ คงต้องหาทางออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม
เครื่องบางแต่ถอดแบตเตอรี่เองไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนพยายามลดความหนาของอุปกรณ์ให้บางลง และนำกระจกมาใช้กับฝาหลังกันมากขึ้น ทำให้สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่ในตลาดไม่สามารถถอดตัวแบตเตอรี่ด้วยตนเอง เว้นแต่จะใช้อุปกรณ์แงะเปิดฝาหลัง แล้วค่อย ๆ ใช้ปืนความร้อนละลายกาวที่ยึดตัวฝาหลังออก ซึ่งขั้นตอนการถอดฝาหลังอาจทำให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์เพิ่มเติมได้หากไม่มีความเชี่ยวชาญ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ภายใน 4 ปีข้างหน้า หรือราวปี ค.ศ. 2027 ทำให้ผู้ผลิตมีเวลาออกแบบดีไซน์อุปกรณ์ใหม่กันอีกพักใหญ่ ให้ผู้ใช้สามารถถอดและเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง โดยที่รักษาคงความบางและประสิทธิภาพของตัวเครื่องไว้
โดยกฎหมายควบคุมแบตเตอรี่ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะมีการบังคับจริง ส่วนผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ต้องติดตามกันต่อไปว่าผู้ผลิตแต่ละเจ้าจะมีแนวทางหรือการเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไปกับกฎหมายฉบับนี้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปพอสมควร เพราะในอนาคต เราคงไม่ต้องมาปวดหัวหาทางแยกร่างโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่เหมือนอย่างในปัจจุบัน
ที่มาข้อมูล Europarl, Pcmag, Thaicarbonlabel
ข่าวแนะนำ
-
จีนเร่งพัฒนาจรวดขนส่งไปดวงจันทร์
- 20/6/67