TNN online 'ศศลักษณ์' เปิดใจหลังกลายเป็นชาวไทยคนที่สองในการคว้าแชมป์เคลีก

TNN ONLINE

กีฬา

'ศศลักษณ์' เปิดใจหลังกลายเป็นชาวไทยคนที่สองในการคว้าแชมป์เคลีก

'ศศลักษณ์' เปิดใจหลังกลายเป็นชาวไทยคนที่สองในการคว้าแชมป์เคลีก

“ศศลักษณ์ ไหประโคน” เปิดใจหลังกลายเป็นแข้งไทย คนที่ 2 ที่คว้าแชมป์ “เคลีก” ยันยันคิดถูกตัดสินในย้ายมาซบ “ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส” แม้ว่าจะไม่มีส่วนสำคัญกับแชมป์มากนัก แต่ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากๆ

วันนี้ (6 ธ.ค. 64) ตามที่ ศศลักษณ์ ไหประโคน ได้ย้ายจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาอยู่กับ ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส ด้วยสัญญายืมตัว 6 เดือน เมื่อช่วงเลกสอง ของศึกเคลีก เกาหลีใต้ มีโอกาสลงเล่นในลีก 2 นัด ในฐานะตัวสำรอง และ ตัวจริง 1 นัด ในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่เปิดบ้านชนะจุดโทษ บีจี ปทุมฯ ด้วยสกอร์รวม 5-3


ล่าสุด ศศลักษณ์ ไหประโคน แบ็คซ้าย ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส สร้างประวัติศาตร์ กลายเป็นนักเตะไทยคนที่ 2 ในรอบ 36 ปี ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุด เกาหลีใต้ มาครอง หลังจบเกมที่ต้นสังกัดเปิดบ้านชนะ เจจู ยูไนเต็ด 2-0 ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2021 วันที่ 5 ธันวาคม 2564 


ทั้งนี้ ดาวเตะวัย 25 ปี มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ระหว่างฝึกซ้อม ตั้งแต่ช่วงเดือน ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้ไม่มีชื่อช่วยทีม จนถึงปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ดีแม้ว่า ศศลักษณ์ จะไม่มีโอกาสลงเล่นมากนัก แต่อย่างน้อย เขาก็ขึ้นแท่นเป็นนักเตะไทยรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์ ลีกสูงสุด เกาหลีใต้ มาครองได้สำเร็จ ต่อจาก อดีตแข้งระดับตำนานอย่าง ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่เคยคว้าแชมป์ กับ ลัคกี้ โกลด์สตาร์ เมื่อฤดูกาล 1985 


ขณะเดียวกันเจ้าตัว ได้ออกมาโพสต์ถึงความรู้สึกของคนเองหลังจากต้นสังกัด ผงาดคว้าแชมป์เคลีก มาครองได้สำเร็จว่า  ตั้งแต่เด็กๆ ผมสู้มาตลอด ผมสู้เพื่อครอบครัว และ สู้เพื่อความฝันที่ผมมี จนมาถึงวันนี้ 


“ผมไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหน กับ ความรู้สึก และ ภาพๆ นี้ มันมีคำพูดมากมายที่อยู่ในหัว ผมแค่อยากขอบคุณตัวเองในวันนั้นที่กล้าตัดสินใจมาที่นี่ โดยไม่กลัวเลยว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง จะมีโอกาสลงเล่นมากน้อยแค่ไหน ขออย่างเดียวคือให้ได้ออกมาสู้ ผมรู้ดีว่า ชุนบุค เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่มาก ที่นี่มีนักเตะเก่งมากๆ มีประสบการณ์มากมาย ทั้งในเกาหลี และ ยุโรป ผมรู้ดีว่าอาจจะส่งผลถึงโอกาสลงเล่นของผม แต่ถ้าย้อนกลับไป หรือ เลือกอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังเลือกที่จะมาอยู่ดี ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมคิดว่านี่แหละคือส่วนหนึ่งของฟุตบอล ถ้าลองย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ถ้าผมบอกกับหลายๆ คนว่า ผมจะมาเล่นต่างประเทศให้ได้สักครั้ง คนคงหัวเราะผม หรือ บอกว่าผมบ้า แต่ผมเชื่อของผมเสมอว่า ผมทำได้และ ต้องมีสักวันที่ผมมีโอกาสจนวันที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้ มีโอกาสชูถ้วยแชมป์เคลีก ผมแค่อยากโพสต์เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ และ ขอบคุณตัวเอง ที่กล้า ที่เชื่อมั่นในสิ่งที่สู้มาตลอด ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่จากเด็กน้อยคนหนึ่ง ผมภูมิใจมากๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ของทีม และ สู้ในสิ่งที่ผมทำได้มาตลอดตั้งแต่วันแรกที่มาที่นี่ สุดท้าย ผมอยากขอบคุณโค้ช สตาฟฟ์ และ เพื่อนร่วมทีมทุกคน ที่ให้โอกาสเด็กตัวเล็กๆ คนนี้ได้ทำตามความฝันที่ยิ่งใหญ่ ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ผมจะสู้ในเส้นทางที่ผมเลือกเดินต่อไป #Jeonbukfamily"