เตือนอันตราย กินพาราเซตามอลพร่ำเพรื่อเสี่ยงถึงชีวิต
ยาพาราเซตามอล เป็นยาสามัญประจำบ้าน ใช้แก้ปวด ลดไข้ ถูก สามารถใช้ได้ทั้งในเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ปัจจุบันพบว่ามีการใช้ยาพาราเซตามอลที่ไม่ถูกต้องมากขึ้น ทั้งการกินยาพร่ำเพรื่อ กินยาเกินขนาด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ใช้ยาได้โดยไม่ทันรู้ตัว
ยาพาราเซตามอล มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า อะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) เป็นตัวยาที่ช่วย บรรเทาอาการปวด ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลาง เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดประจำเดือน และสามารถใช้ลดไข้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ มีหลายรูปแบบทั้งยาพาราเซตามอลชนิดเม็ด แคปซูล ยาน้ำ และยาเหน็บ
ปัญหาที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้ ยาพาราเซตามอล คือ
->การใช้ยาพาราเซตามอลพร่ำเพรื่อ บางคนรู้สึกมีไข้ต่ำ ๆ หรือมีอาการปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มักกินยาเพื่อบรรเทาอาการทันที ซึ่งการกินพร่ำเพรื่อติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อการทำงานของตับ ตับทำงานบกพร่องได้
->การใช้ยาทั้งที่ไม่มีอาการ เช่น กินดักไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อป้องกันอาการไข้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น ปัญหาดื้อยา ใช้ยาเกินขนาดจนส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ
->การใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด ปริมาณที่เหมาะสมคือ กินยาขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
อาการของการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างพร่ำเพรื่อหรือการใช้ยาเกินขนาดจะเริ่มแสดงในช่วง 1-3 วัน จะมีอาการผิดปกติของร่างกาย แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เหงื่อออกเป็นระยะสั้น ๆ โดยจะเกิดภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ในบางรายอาจไม่มีอาการผิดปกติเลย
ระยะที่ 2 หลังกินยาระหว่าง 24-48 ชั่วโมง อาจไม่มีอาการแสดงออกอย่างชัดเจนแต่เมื่อเจาะเลือดจะพบค่าเอนไซม์ทรานซามิเนส (Transaminase) เริ่มสูงขึ้น บ่งบอกถึงการบาดเจ็บหรือเกิดการอักเสบที่ตับ
ระยะที่ 3 หลังกินยาไปแล้ว 48 ชั่วโมง มีอาการตับอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร มีภาวะแทรกซ้อนเหมือนตับอักเสบทั่วไป ในรายที่มีรุนแรงอาจสมองเสื่อมจากโรคตับ และเสียชีวิตได้
ข้อห้ามและข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอล
->ควรใช้ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ขนาด 500 มิลลิกรัม 1-2 เม็ด/ครั้ง ทิ้งระยะห่างครั้งละ 4-6 ชั่วโมง และไม่ควรกินยามากกว่า 8 เม็ด/วัน
->ผู้ป่วยที่มีสภาวะการทำงานของตับผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อปรับขนาดตัวยาที่ใช้อย่างเหมาะสม
->ห้ามใช้กับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาตัวนี้ อาการแพ้ยาสังเกตได้ จะมีผื่นขึ้นตามตัว มีอาการบวมที่หน้าและริมฝีปาก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก
ขอบคุณ : ฝ่ายเภสัชกรรม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล