TNN online กรมวิทย์ฯเปิดผลทดสอบ "ปลูกฝี" กว่า 40 ปี มีภูมิคุ้มกัน "ฝีดาษลิง" หรือไม่?

TNN ONLINE

สังคม

กรมวิทย์ฯเปิดผลทดสอบ "ปลูกฝี" กว่า 40 ปี มีภูมิคุ้มกัน "ฝีดาษลิง" หรือไม่?

กรมวิทย์ฯเปิดผลทดสอบ ปลูกฝี กว่า 40 ปี มีภูมิคุ้มกัน ฝีดาษลิง หรือไม่?

กรมวิทย์ฯ เผย ผลทดสอบคนที่ปลูกฝีมานานกว่า 40 ปีจำนวน 28 รายไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัส "ฝีดาษลิง" ทั้ง 2 สายพันธุ์ โดยกรมควบคุมโรคอยู่ระหว่างการทำแผนฉีดวัคซีนโรคฝีดาษให้กับกลุ่มเสี่ยง เบื้องต้นสั่งซื้อ 1,000 โดส

วันนี้( 5 ก.ย.65) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุถึง ผลการทดสอบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ "ฝีดาษลิง" ในคน ที่ได้รับวัคซีนฝีดาษมากกว่า 40 ปี  ซึ่งกรมวิทย์ฯได้เพาะเชื้อฝีดาษลิง ทั้ง 2 สายพันธุ์ B.1 และ A.2 โดยประเทศไทย 6 รายเป็นสายพันธุ์ A.2 และ 1 รายเป็น B.1 โดยสามารถเพาะเชื้อได้จำนวนมากพอที่จะทดสอบ สำหรับวัคซีนฝีดาษคน หยุดการฉีดตั้งแต่ปี 2523

วิธีการทดสอบ ในอาสาสมัคร 28 คน  แบ่งอาสาสมัครตามช่วงอายุ ได้แก่ ช่วงอายุ 45-54 ปี , ช่วงอายุ 55-64 ปี , ช่วงอายุ 65-74 ปี โดยเอาน้ำเลือดมาจางลง จนถึงจุดที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการ 2 สัปดาห์ การวัดค่า หากค่าระดับไตเตอร์มากกว่า 32 ถือว่ามีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษลิงได้

ส่วนผลการทดสอบในน้ำเลือดคนติดเชื้อฝีดาษลิง ซึ่งมีภูมิธรรมชาตินั้น ผลพบว่า สามารถที่จะกันเชื้อ A.2 ได้มากกว่า B.1 ส่วนกลุ่มคนที่ไม่ได้รับวัคซีน และไม่เคยติดเชื้อ ตรวจทั้งหมด3 ราย 

ภูมิน้อยมากต่อเชื้อฝีดาษลิง

สรุป คนที่ปลูกฝีมานานกว่า 40 ปีจำนวน 28 รายไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสฝีดาษลิงทั้ง 2 สายพันธุ์ โดยมี 2 รายพบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสฝีดาษลิงได้ 

ขณะเดียวกันมี 1 รายมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ A.2 และ 1 รายมีภูมิคุ้มกันต่อทั้ง 2 สายพันธุ์

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนฝีดาษลิงโดยตรง แต่ที่นำมาใช้คือวัคซีนฝีดาษคน ได้ผลประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อฝีดาษลิงร้อยละ 85 ปัจจุบันมีวัคซีนรุ่น 3 ซึ่งไม่ต้องปลูกฝีสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ได้มีการอนุมัติการใช้  วิธีฉีดคือเข้าชั้นผิวหนัง เป็นตุ่มเม็ดถั่วเขียว  ปริมาณ 0.1 มิลลิลิตร และชั้นใต้ผิวหนัง ปริมาณ 0.5 มิลลิลิตร ซึ่งกรมควบคุมโรคเป็นผู้จัดหา เบื้องต้นอยู่ประมาณ 1,000 โดส ราคายังค่อนข้างสูง ซึ่งจะมีการแบ่งกลุ่มในการรับวัคซีนเป็น 2 กลุ่ม เช่นกลุ่มแรกเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการที่อาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ กับบุคคลทั่วไปที่มีประวัติเสี่ยง มีอาการ และสัมผัสผู้ติดเชื้อ ย้ำสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่ทุกคนต้องได้รับวัคซีนโรคฝีดาษเพราะอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยังอธิบายเพิ่มเติม ว่าสำหรับคนที่ฉีดวัคซีนโรคฝีดาษคนมาก่อนหน้านั้น หากจะให้ภูมิคงอยู่จะต้องมีการฉีดกระตุ้นทุก 3-5 ปี

สำหรับโรคฝีดาษลิง เกิดขึ้นปี 1958 พบครั้งแรกในลิงที่ติดเชื้อ จากนั้น 1970 พบในคนจากประเทศคองโกมีการติดเชื้อและต่อมาเป็นโรคประจำถิ่นแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก 

ปี 2020 องค์การอนามัยโลกรายงานพบผู้ป่วยสงสัยมีการติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 4594 เสียชีวิต 171 กายซึ่งได้ทำการทดสอบยืนยันด้วยวิธี PCR พบว่ามีการติดเชื้อฝีดาษลิงจริง

จากนั้น 23 มิถุนายน 2022 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ สถานการณ์ล่าสุดจนถึงวันที่ 2 กันยายน มีผู้ป่วยยืนยัน 50,327 ราย เสียชีวิต 15 ราย พบกว่า 100 ประเทศ ถึงแม้จะพบกันติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่อัตราการเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

ทั้งนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการขอเชื้อไวรัสฝีดาษดลิงที่กรมวิทย์ศาสตร์การแพทย์ได้ทำการเพาะขึ้นมา เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอด ผลิตวัคซีนสำหรับโรคฝีดาษลิงโดยตรงซึ่งหากทำได้จริงก็จะทำให้ไทยมีวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิงที่มีราคาถูก




ภาพจาก AFP

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง