TNN online Mark Zuckerberg สร้าง Meta เข้าสู่โลกเสมือนจริงที่มากกว่าแค่โซเชียลฯ

TNN ONLINE

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Mark Zuckerberg สร้าง Meta เข้าสู่โลกเสมือนจริงที่มากกว่าแค่โซเชียลฯ

Mark Zuckerberg สร้าง Meta เข้าสู่โลกเสมือนจริงที่มากกว่าแค่โซเชียลฯ

Mark Zuckerberg รีแบรนด์ Facebook เป็น Meta เปิดจักรวาลเข้าสู่โลกเสมือนจริงแห่งอนาคต ภายใต้คอนเซปต์ที่เรียกว่า Metaverse

วันนี้( 30 ต.ค.64) หลังจากเป็นข่าวครึกโครมทั่วโลก จากการประกาศของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO ของ เฟซบุ๊ก (Facebook) ที่เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เมตา (Meta) ในความพยายามส่งเสริมเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน หรือ Virtual Reality แห่งอนาคต ภายใต้คอนเซปต์ที่เรียกว่า เมตาเวอร์ส (Metaverse)

โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) อธิบายว่า เมตาเวอร์ส คือ "สิ่งแวดล้อมเสมือน" ที่เชื่อมโยงชุมชนเสมือนจริงต่างๆเข้าด้วยกัน โดยผู้ใช้สามารถพบปะกัน ทำงาน เล่น ซื้อของออนไลน์ หรือเข้าสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual Reality) และเทคโนโลยีเสริมจริง (Augmented Reality) รวมทั้งแอปในโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่น ๆ

สำหรับ เหตุผลที่ออกมาเปลี่ยนชื่อ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) กล่าวในไลฟ์สตรีมของบริษัทว่า Meta จะช่วยสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ของบริษัทว่าพวกเขาจะหันไปทุ่มเทกับการลงทุนใน metaverse มากกว่าบริการโซเชียลมีเดีย แต่จะเป็นการมุ่งหน้าผลักดันเทคโนโลยีเพื่อสร้าง Metaverse


Mark Zuckerberg สร้าง Meta เข้าสู่โลกเสมือนจริงที่มากกว่าแค่โซเชียลฯ ภาพจาก reuters

 


มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) พูดถึงการมุ่งหน้าสู่ Metaverse ตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม และบริษัทแห่งนี้ยังได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี VR และ AR อย่างมาก โดยได้เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น หูฟัง Oculus VR ออกมา พร้อมกับเร่งออกแบบอุปกรณ์แว่นตา และสายรัดข้อมือ AR อยู่ด้วย ซึ่ง Metaverse จะสามารถไปถึงผู้คนราว 1,000 ล้านคนภายในทศวรรษหน้า และเชื่อว่าจะช่วยสร้างงานด้านเทคโนโลยีได้หลายล้านตำแหน่งในอนาคต

อย่างไรก็ตาม บริการอื่นๆ ของ Facebook ที่เคยให้บริการมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Whatsapp และ Facebook Messenger ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ


Mark Zuckerberg สร้าง Meta เข้าสู่โลกเสมือนจริงที่มากกว่าแค่โซเชียลฯ ภาพจาก reuters

 


ขณะที่ นักวิจารณ์บางคนชี้ว่า การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้อาจเป็นความพยายามของ Facebook ในการ "เบี่ยงประเด็น" จากรายงาน Facebook Papers ซึ่งเป็นเอกสารหลายพันหน้าเกี่ยวกับการทำธุรกิจของสื่อสังคมออนไลน์นี้ที่ถูกรวบรวมจากคนภายในองค์กรและสื่อต่างๆในสหรัฐฯ ชี้ถึงความขัดแย้งในบริษัทเและปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นต่อการใช้งานของ Facebook ซึ่งมีผู้ใช้ราวสามพันล้านคนทั่วโลก

อดีตพนักงานของ Facebook เปิดเผยว่า ข้อมูลส่วนหนึ่งของเอกสารดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า Facebook เพิกเฉยหรือลดความสำคัญของคำเตือนเรื่องผลกระทบทางลบจากสื่อสังคมออนไลน์นี้ ต่อกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นหญิง

ลอร่า รีส ที่ปรึกษาด้านการตลาด เปรียบเทียบการเปลี่ยนชื่อของ Facebook ในครั้งนี้ว่าเหมือนกับที่บริษัทพลังงาน BR พยายามปรับชื่อบริษัทเป็น "Beyond Petroleum" เพื่อหนีจากการถูกวิจารณ์ว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม


Mark Zuckerberg สร้าง Meta เข้าสู่โลกเสมือนจริงที่มากกว่าแค่โซเชียลฯ ภาพจาก reuters

 

ขณะที่ นายปฐม อินทโรดม กรรมการ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ก็ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า ชื่อใหม่ของ facebook คือ Meta แต่ไม่ “เมตตา” เราแน่...เพราะมาร์คจะสร้างโลกคู่ขนานที่ดึงทั้งเวลา เงินและทรัพยากรของเราไปใส่โลกเสมือนนี้มากขึ้น ผลคือปัญหาเด็กติดเกม เด็กติดมือถือ จะหายไปทันที เพราะคนรุ่นใหม่จะ “ใช้ชีวิต” อยู่ในนั้นเลย!

ชื่อ Meta ที่สื่อตรงถึง Metaverse ทำให้เราต้องหันมาสนใจศัพท์คำนี้ ซึ่งสรุปง่ายๆ ว่าเป็นโลกเสมือนที่เราใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้ สิ่งที่มาร์คโชว์เช่น Avatar ที่เป็นตัวเราในโลกเสมือนที่สามารถ พบปะผู้คนในโลกจำลอง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ facebook ที่ใช้อยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือตัวตนเสมือนนี้มีความสมจริงมากขึ้นเพราะเป็น VR ที่ต้องใส่อุปกรณ์อย่าง Oculus (ซึ่งซื้อกิจการมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว) 

และที่สำคัญที่สุดคือ Ecosystem ที่สร้างขึ้นทำให้ผู้ใช้ “หาเงิน” จากโลกเสมือนนี้ได้ด้วย นี่คือสาเหตุที่ facebook พยายามผลักดันเงินสกุลดิจิทัล ของตัวเองคือ libra อย่างหนักแต่โดนแรงเสียดทานมากจนต้องเปลี่ยนเป็น diem ซึ่งแน่นอนว่ามันจะถูกใช้อยู่ในโลก Meta นี่แหละ

Mark Zuckerberg สร้าง Meta เข้าสู่โลกเสมือนจริงที่มากกว่าแค่โซเชียลฯ

ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องใช้ชีวิตในโลกนี้มากขึ้น ตัวตนเสมือนของเราก็จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่เหมือนโลกในความเป็นจริง อาชีพออกแบบ Avatar จะทำเงินไม่แพ้ดีไซน์เนอร์ และบริษัทแฟชั่นทั้งหลายก็จะเปลี่ยนช่องทางในการหารายได้จากการเปิดร้านในห้าง มาสู่เปิดร้านใน Meta ขายสินค้าที่จับต้องไม่ได้ แต่ทำเงินได้ดีกว่าเดิม เพราะไม่ต้องปวดหัวเรื่องโรงงานผลิต ไม่ต้องหาวัตถุดิบ ฯลฯ

Meta จะก่อให้เกิดอาชีพใหม่อีกมาก ทั้งหมดทำงานและทำเงินอยู่ในโลกเสมือน ไม่ว่าจะเป็นออกแบบ นักดนตรี สถาปนิก นักแปล ฯลฯ รวมถึงคนเล่นเกมที่เคยได้แต้มเอาไปแลกไอเท็ม ก็กลายเป็นได้เหรียญ diem เอาไปใช้จับจ่ายใช้สอยได้ รวมถึง convert เป็นเงินในโลกจริงได้ด้วย Blockchain จึงกลายเป็นประตูที่เชื่อมโลกเสมือนกับโลกจริงเข้าด้วยกัน

Meta จะทำให้คนธรรมดา ๆ ที่อาจมีชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนในโลกจริง แต่โลดแล่นเป็นเจ้าของอาณาจักรใหญ่โตในโลก Meta คนในยุคนี้จึงมี 2 โลกที่ใช้ชีวิตคู่ขนานกัน แต่ถ่ายโอนความมั่งคั่งได้ด้วย diem ที่ไม่มีรัฐบาลของประเทศไหนควบคุมได้แน่นอน บอกแล้วว่าเขาไม่ “เมตตา” เราแน่ๆ"




ภาพจาก reuters / AFP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง