เอกชนเชื่อฝีมือ “เศรษฐา” หนุนนั่งนายกฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจ

“คุณเศรษฐา เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเวลานาน และประสบความสำเร็จ ทำให้บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ติดอันดับ Top 3 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำไรมากที่สุดในไตรมาสแรกปีนี้ ด้วยวิสัยทัศน์และการทำงานแบบเอกชน คุณเศรษฐาจึงเหมาะที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีความเปราะบางและท้าทาย และเศรษฐกิจในประเทศยังรอแก้ปัญหา ซึ่งเชื่อว่าคุณเศรษฐาเข้าใจปัญหาดี”

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ในรายการ TNN ข่าวค่ำ เชื่อมั่นว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีประสบการณ์และมีวิสัยทัศน์แบบเอกชนที่สามารถเข้าใจและแก้ปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ได้ โดยมั่นใจว่าในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี วันที่ 4 ส.ค. นี้ จะเป็นไปด้วยความราบรื่น และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามไทม์ไลน์ภายในเดือนนี้ 

สำหรับสิ่งที่อยากให้รัฐบาลใหม่เข้ามาเร่งแก้ไข คือ เร่งแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ซึ่ง จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน โดยรวมหนี้ในระบบ เช่น กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และหนี้สหกรณ์อื่น ๆ ทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนในปัจจุบันพุ่งไปอยู่ที่ร้อยละ 90.6 ขณะเดียวกันพบว่า ยังมีนอกระบบอีกถึงเกือบร้อยละ 20 ซึ่งหากรวมเข้าไปจะยิ่งทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นไปแบบก้าวกระโดดและจะทำให้กดกำลังซื้อของคนในประเทศ  นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ต้องมาดูเรื่องของโครงสร้างต้นทุนรวมทั้งค่าไฟ เพราะหากเทียบกับเพื่อนบ้านถือว่าไทยเราแพงมาก ดังนั้น เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าครองชีพสูง ขณะที่รายได้ของประชาชนไม่เพิ่ม นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากการส่งออก 9 เดือนที่ผ่านมาติดลบและในปีนี้ยังมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่อง ซึ่ง จำเป็นต้องหาตลาดใหม่ และเร่งเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป หรือ อียู รวมทั้ง ช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ SME ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา

นายเกรียงไกร มองว่า พรรคเพื่อไทยที่มาจากพรรคไทยรักไทยเดิม มีจุดแข็งคือมีความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงต้องรอดูการฟอร์มทีมตั้งรัฐบาลว่าจะวางคนในกระทรวงเศรษฐกิจร่วมกับพรรคร่วมอย่างไร ขณะที่ นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย มองว่า เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน และเป็นระบบควบคุมการใช้จ่ายเงินได้ เพราะที่ผ่านมา ประชาชนอาจจะนำเงินไปใช้จ่ายในเรื่องอื่น เช่น ผ่อนรถ จ่ายหนี้ ทำให้เงินไม่ได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ภาคเอกชนจึงหวังว่านโยบายนี้จะสำเร็จ เพราะใช้งบประมาณถึง 500,000 ล้านบาท 

ด้าน 

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า นายเศรษฐา มีความถนัดด้านเศรษฐกิจ และจะเป็นผู้นำในการบริหารได้ดี ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องเสถียรภาพรัฐบาลและความมั่นคงทางการเมือง จะขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันของแต่ละพรรคการเมือง หากไปด้วยกันได้ มั่นใจว่า การบริหารเศรษฐกิจและการเมืองจะเดินหน้าได้อย่างราบรื่น และส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนที่ดี

นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า นายเศรษฐา มาจากนักธุรกิจ ทำให้เข้าใจปัญหาต่าง ๆ ได้ดี ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น และการมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และมีนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้รู้สึกเบาใจอย่างมาก

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มองว่า นายเศรษฐา เป็นผู้ที่มีความเหมาะสม และมีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจ จึงมีความเข้าใจปัญหาของประเทศ มั่นใจว่าจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ที่สำคัญจะสร้างความเชื่อมั่นเรื่องการค้าการลงทุนได้เป็นอย่างดี ส่วนพรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่ง การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ จะสามารถขับเคลื่อนการบริโภค การลงทุน และงบประมาณ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นในด้านการค้า การลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ให้มีความต่อเนื่องได้

สำหรับ นโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยที่เคยหาเสียงไว้ส่วนใหญ่เป็นนโยบายที่เน้น “การสร้างรายได้” เป็นหลัก เช่น นโยบายเศรษฐกิจมหภาค จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP เติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำ ร้อยละ 5 ต่อปี , เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 ,คนจบปริญญาตรี รวมถึง คนทำงานข้าราชการ ต้องได้เงินเดือน เริ่มต้น 25,000 บาท รวมถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท 

นโยบายสร้างรายได้เกษตรกร มุ่งเพิ่มรายได้ขึ้นเป็น 3 เท่า โดยให้มีรายได้ 30,000 บาท ต่อไร่ ต่อปี และให้มีการพักหนี้เกษตรกร ทั้งต้นและดอก 3 ปี เน้นผลิตลดการนำเข้าปีละ 3 แสนกว่าล้านบาทต่อปี, นโยบายบริหารจัดการน้ำ น้ำต้อง “ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ประชาชนต้องมีน้ำดื่ม น้ำใช้ตลอดปี โดยการเพิ่มพื้นที่ชลประทานเป็น 50 ล้านไร่ ภายในปี 2570, นโยบายคมนาคม ชู “รถไฟฟ้า กทม.” 20 บาทตลอดสาย ให้มีการติดแอร์ให้รถไฟชั้น 3 ทุกขบวน เชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ เพิ่มทั้งการค้า และการท่องเที่ยว

นโยบายสาธารณสุข เน้น บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทั่วไทย, ระดมฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีให้เด็กหญิงอายุตั้งแต่ 9-11 ปี และผู้หญิงที่ยังไม่เคยรับเชื้อ HPV ลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูก, นโยบายการท่องเที่ยว เน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านการแพทย์ มุ่งให้ไทยเป็น Regional transport hub เชื่อมต่อสายการบินให้สายการบินจากทั่วโลก มาต่อเครื่องที่ไทย , รองรับนักท่องเที่ยว120 ล้านคนและปริมาณการขนส่งสินค้า Cargo จำนวน 3 ล้านตันภายในปี 2570, นโยบาย ซอฟท์ พาวเวอร์ จะส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ซอฟท์ พาวเวอร์ ในทักษะ ด้านการทำอาหาร ร้องเพลง ออกแบบ ศิลปะ กีฬา เพื่อสร้างแรงงานทักษะสูง 20 ล้านคน ที่มีรายได้อย่างน้อย 200,000 บาทต่อปี ส่วนนี้จะมีการสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่งรองรับ, นโยบายการศึกษา มีโครงการ “ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านขั้นตอน Learn to Earn” โครงการ “Free tablet for all” 1 นักเรียน 1 แท็บเลต และ โครงการ 1 ครู 1 แท็บเลต,โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน

นโยบายรัฐบาลดิจิทัลเพื่อประชาชน เน้นใช้ระบบ Blockchain สร้างความโปร่งใสให้รัฐบาล ทุกอย่างตรวจสอบได้ ลดการคอรัปชัน, นโยบายแก้รัฐธรรมนูญ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยคงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน, นโยบายด้านยาเสพติด เน้น “ปราบปรามผู้ผลิตและผู้ขาย” และ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” บำบัด ลดการกลับไปใช้ยาเสพติด, นโยบายปราบอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะการหลอกลวง ขโมยเงินจากบัญชีธนาคาร โดยจะวางระบบป้องกันภัยไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ธนาคารส่งข้อมูลกรณีกลโกงอาชญากรไซเบอร์ให้ทันการณ์, นโยบายจัดทำกรรมสิทธิ์ที่ดิน จะมีการเร่งรัด “การพิสูจน์สิทธิ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งโฉนด อย่างถูกต้องและเป็นธรรม”ด้วยการใช้หลักฐานภาพถ่ายจากดาวเทียม และ/หรือหลักฐานอื่นซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้อง

ภาพ TNNOnline