อันตรายน้อยกว่าจริงหรือ? วิจัยเทียบระดับภูมิคุ้มกัน ก่อน-หลัง “สูบบุหรี่ไฟฟ้า”

นับเป็นเรื่องใหญ่ในวงการสุขภาพ หลังองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (เอฟดีเอ) อนุมัติการจำหน่าย “บุหรี่ไฟฟ้า” หรืออี-ซิกกาเรต เป็นครั้งแรก!

อย่างไรก็ตาม เอฟดีเอ อนุญาตเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าที่มีรสชาติยาสูบ ไม่รวมถึงรสชาติที่มีการปรุงแต่งกว่า 10 ชนิด ที่มีรสชาติหวานและกลิ่นผลไม้ ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักสูบหนุ่มสาว

สำหรับในประเทศไทยนั้น เพิ่งมีกระแสผลักดันกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า โดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ชี้ว่า “บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่จริง”

แนวคิดดังกล่าวถูกคัดค้านจากสมาคมแพทย์ รวมถึงมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิฯ ยืนยันว่า บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เยาวชนเข้ามาเสพติดบุหรี่มากขึ้น การห้ามบุหรี่ไฟฟ้าจึงเป็นการปกป้องเยาวชน

ด้าน ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยงานวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจอลิส ที่ศึกษาในวัยรุ่น 32 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 

- กลุ่มแรก 11 คน เป็นผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้ามาก่อน 

- กลุ่มสอง 12 คน เป็นผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำ 

- กลุ่มสาม 9 คน เป็นผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ

เมื่อนักวิจัยทำการวัดระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย ก่อนและหลังให้ผู้เข้าร่วมสูบบุหรี่ไฟฟ้าจริง และบุหรี่ไฟฟ้าแบบหลอกเป็นเวลา 30 นาที พบว่า วัยรุ่นที่ไม่เคยสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้ามาก่อน จะมีระดับของอนุมูลอิสระในเซลล์ หรือ cellular oxidative stress เพิ่มขึ้นถึง 2-4 เท่า แต่ระดับของอนุมูลอิสระนี้ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ในกลุ่มที่เคยสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้ามาแล้ว เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะมีระดับของอนุมูลอิสระ ที่สูงกว่าปกติอยู่แล้ว

ทั้งนี้ อนุมูลอิสระ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเสียสมดุล หากมีจำนวนมากขึ้นจะเข้าไปทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เซลล์เกิดความเสียหาย ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคทางระบบประสาท รวมทั้งโรคมะเร็ง

ที่มา: 

- BBC, FDA approves e-cigarette in US for first time

- ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ, มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

- ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช, ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

ภาพ: Bimbim Sindu, Pexels