วิจัยชี้แม่ตั้งครรภ์ฉีดวัคซีน mRNA ส่งต่อ “ภูมิคุ้มกัน” สู่ทารก

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) ของสหรัฐฯ ค้นพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ฉีด วัคซีน mRNA ทั้งวัคซีนไฟเซอร์ และโมเดอร์นา จะทำให้ร่างกายมีระดับแอนติบอดีสูงมาก ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงอาการป่วยรุนแรง และอาการแทรกซ้อนจากโรคโควิด-19 ได้อีกด้วย

ขณะเดียวกัน เมื่อศึกษาผลของวัคซีนจากหญิงตั้งครรภ์ พบว่า ผู้เป็นแม่จะส่งต่อภูมิคุ้มกันไปยังทารกแรกเกิดได้โดยตรงผ่านทางสายสะดือ ซึ่งเมื่อลองตรวจวัดระดับแอนติบอดีของเด็กแรกเกิด 36 คน ที่แม่ฉีดก่อนคลอด 13 สัปดาห์ พบว่า เด็กกลุ่มนี้มีระดับแอนติบอดีในร่างกายสูงสุด เมื่อเทียบกับแม่ที่ฉีดวัคซีนก่อนคลอด 20 สัปดาห์ 

การฉีดวัคซีนในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 นับว่ามีความจำเป็น เนื่องจากมีข้อมูลว่าหญิงตั้งครรภ์ ที่ไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีความเสี่ยงสารพัด เช่น เมื่อติดโควิดจะเสี่ยงต่อการล้มป่วยด้วยอาการหนัก ทั้งยังอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ รวมถึงมีแนวโน้มจะเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด และอาการอื่นๆ ด้วย 

ที่ผ่านมามีกรณีของหญิงตั้งครรภ์ติดโควิด-19 เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ มีรายงานว่าสตรีมีครรภ์ติดโควิด-19 มากกว่า 120,000 คน ยิ่งช่วงนี้มีการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์เดลตา ทำให้ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น 

โดยในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานว่าหญิงตั้งครรภ์ในสหรัฐฯ เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 21 คน นับว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา จึงจำเป็นต้องเร่งให้หญิงตั้งครรภ์ในสหรัฐ เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยเร็วที่สุด 

พญ.โรเชล วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) กล่าวว่า “ขณะนี้มีสตรีมีครรภ์ในสหรัฐเพียง 31% ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19”

ข่าวดีนี้แสดงให้เห็นว่าวัคซีนให้ประสิทธิผลแบบ Win-Win คือ ประโยชน์จากแม่สู่ลูกน้อยในครรภ์ แต่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อในเด็กแรกเกิดได้ รวมถึงช่วงเวลาการฉีดที่ส่งผลต่อการส่งต่อภูมิคุ้มกัน

ที่มา: Getting Vaccinated While Pregnant Can Help Pass on Antibodies to Newborns