"ท้องผูกเรื้อรัง" มีอาการอย่างไร? เตือนอาจเป็นสัญญาณมะเร็งลำไส้ใหญ่
"ท้องผูกเรื้อรัง ลำไส้พัง ไม่รู้ตัว " เกิดจากสาเหตุอะไร มีอาการอย่างไร เตือนอย่านิ่งนอนใจอาจเป็นสัญญาณมะเร็งลำไส้ใหญ่
"ท้องผูกเรื้อรัง ลำไส้พัง ไม่รู้ตัว " เกิดจากสาเหตุอะไร มีอาการอย่างไร เตือนอย่านิ่งนอนใจอาจเป็นสัญญาณมะเร็งลำไส้ใหญ่
ภาวะท้องผูก มักเกิดขึ้นเมื่อ ลำไส้บีบตัวหรือเคลื่อนตัวช้าในระหว่างที่ย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อมีของเสียตกค้างในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอุจจาระที่แห้ง แข็ง และมีขนาดใหญ่ขึ้นจนขับถ่ายลำบาก
ภาวะท้องผูกเรื้อรัง เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุหลักๆ ได้แก่
1.พฤติกรรมในชีวิตประจำวันอาจทำให้เกิดท้องผูกเรื้อรัง เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงอาหารแปรรูปที่มีไขมันและน้ำตาลปริมาณมาก ออกกำลังกายน้อยหรือไม่ออกเลย กลั้นอุจจาระบ่อยๆ
2.ยาบางประเภทอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการท้องผูกได้ เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ ยาลดความดันโลหิต ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแคลเซียม หรืออะลูมิเนียม ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟีน เป็นต้น
3.ภาวะเจ็บป่วยบางอย่างจะส่งผลให้มีอุจจาระตกค้างในลำไส้จนทำให้เกิดอาการท้องผูกเรื้อรัง เช่น เกิดแผลปริที่ขอบทวารหนัก ลำไส้อุดตัน มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
4.ภาวะที่ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุลอาจทำให้เกิดปัญหาท้องผูกเรื้อรังได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคลำไส้แปรปรวน ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ หรือการตั้งครรภ์ เป็นต้น
5.การทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หรือภาวะลำไส้เฉื่อย เป็นการที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวน้อยลงทำให้อุจจาระเคลื่อนลงมาช้ากว่าปกติ
อาการแบบไหนเข้าสู่ภาวะท้องผูกเรื้อรัง
ภาวะท้องผูกเรื้อรังหมายถึงการมีอาการใดอาการหนึ่ง ดังนี้
-การมีอุจจาระแข็ง
-ความถี่ในการขับถ่ายอุจจาระลดลงกว่าปกติ หรือน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
-ใช้เวลานานในการเบ่งถ่าย
-มีความเจ็บปวดเวลาเบ่งถ่ายหรืออุจจาระมีเลือดปนออกมา
-หลังถ่ายอุจจาระเรียบร้อยแล้วแต่ยังมีความรู้สึกถ่ายไม่หมดหรือถ่ายอุจจาระไม่สุด
ท้องผูกเรื้อรังอาจเป็นสัญญาณมะเร็งลำไส้ใหญ่
ปัญหาท้องผูกเรื้อรังอาจเป็นผลมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย อย่างโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หากเกิดอาการอาการใดอาการหนึ่ง หรือตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไป ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป ได้แก่
-ท้องผูกอย่างต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์
-ท้องเสียเล็กน้อยนาน 1 สัปดาห์
-ท้องเสียอย่างรุนแรงนานเกิน 2 วัน
-ถ่ายเหลวและถ่ายเป็นเลือด
-อุจจาระมีสีดำ
-ปวดถ่ายอุจจาระในแบบที่ต้องถ่ายทันทีอย่างหาสาเหตุไม่ได้
การวินิจฉัยอาการท้องผูกเรื้องรัง
เบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติ อาการร่วมต่างๆ และการตรวจร่างกายทั่วไป รวมถึงการตรวจทางทวารหนัก บางกรณีอาจมีการตรวจพิเศษอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
-ส่องกล้องตรวจภายในลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เพื่อแยกภาวะอุดกั้นหรือตีบแคบของลำไส้
-การตรวจการเคลื่อนไหวของลำไส้
-การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อในการขับถ่ายและการรับรู้ความรู้สึกของลำไส้ตรง
-การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อที่ใช้การขับถ่าย ได้แก่ กล้ามเนื้อช่องท้อง กล้ามเนื้อเชิงกราน และกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก
การปรับพฤติกรรม
-รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง โดยเฉพาะผักและผลไม้ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยใยอาหารได้ จึงยังอยู่ในลำไส้และอุ้มน้ำเอาไว้ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น
-ดื่มน้ำไม่น้อยกว่าวันละ 2 ลิตร เพื่อให้อุจจาระไม่แข็งจนเกินไป ร่างกายจึงขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหารและกล้ามเนื้อหลัง ซึ่งจะช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวดีขึ้น
-ขับถ่ายให้เป็นเวลาในแต่ละวัน เพราะหากทำเป็นประจำจะทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายมีประสิทธิภาพลดลงจนเกิดอาการท้องผูกได้
-อย่ากลั้นอุจจาระ หรือรีบร้อนในการขับถ่าย เพราะอาจทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารได้
การรักษาด้วยยา
เมื่อปรับพฤติกรรมแล้วไม่ดีขึ้น สามารถใช้ยาได้ ยาที่ออกฤทธิ์ช่วยระบาย หากใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้นหรือต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์
นอกจากนี้ ท่านั่งที่ดี ก็ช่วยให้การขับถ่ายทำได้ง่ายยิ่งขึ้นเช่นกัน ซึ่งท่าที่เหมาะที่สุดคือท่านั่งยอง ๆ เนื่องจากเป็นท่าที่ลำไส้ทำมุมตรงกับการขับถ่าย แต่หากใช้ชักโครกแบบนั่ง ก็สามารถปรับเปลี่ยนด้วยการงอเข่าเข้าหาลำตัว หรือหาเก้าอี้เล็ก ๆ มาวางไว้เพื่อช่วยยกขาให้สูงขึ้นก็ได้เช่นเดียวกัน
สุดท้ายการถ่ายอุจจาระขึ้นอยู่กับสุขภาพและลักษณะร่างกายของแต่ละคน หากสามารถขับถ่ายได้อย่างปกติ ไม่มีอาการเจ็บปวด แม้จะไม่ได้ขับถ่ายทุกวัน ก็ยังไม่ถือว่ามีอาการท้องผูก แต่หากมีการขับถ่ายที่ผิดปกติไปจากเดิม เช่น ถ่ายเหลว ลักษณะของอุจจาระเปลี่ยนไปจากเดิม มีก้อนเล็กลง หรือมีเลือดปน ก็ควรรีบมาปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลนครธน / RAMA CHANNEL
ภาพจาก TNN Online / AFP