TNN online งีบบ่อย ระวังสมองเสื่อม! "หมอธีระวัฒน์" เปิดข้อมูลสำคัญ หลับช่วงไหนเสี่ยงมาก

TNN ONLINE

Health

งีบบ่อย ระวังสมองเสื่อม! "หมอธีระวัฒน์" เปิดข้อมูลสำคัญ หลับช่วงไหนเสี่ยงมาก

งีบบ่อย ระวังสมองเสื่อม! หมอธีระวัฒน์ เปิดข้อมูลสำคัญ หลับช่วงไหนเสี่ยงมาก

นพ.ธีระวัฒน์ เตือน งีบบ่อย..เสี่ยงสมองเสื่อม พร้อมเผยผลวิจัยต่างประเทศ พบคนที่งีบหลับมากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 40% เมื่อเทียบกับคนที่งีบน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอธีระวัฒน์” ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ 

งีบบ่อย ส่อ..เสี่ยงสมองเสื่อม (ตอน 1) หมอดื้อ


พฤติกรรมการงีบ (nap) ตอนกลางวันเป็นประเด็นร้อน และเป็นที่งงงวยกันมาตลอดว่าจะเอาอย่างไรแน่ เพราะในหลายประเทศทั้งแถบเมดิเตอร์เรเนียน เช่น สเปน รวมกระทั่งไม่นานมานี้ ลามถึงฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ


การงีบตอนบ่ายถือเป็นประเพณีหรือวัฒนธรรมด้วยซ้ำ อย่างที่เรียกว่า Siestas นัยว่า เป็นการเพิ่มพูนประสิทธิภาพของการทำงาน และคนที่ทำงานไม่เป็นเวลาอยู่เวรกะกลางคืน ดึกยาวไปถึงเช้า ซึ่งรวมอาชีพยาม หมอ พยาบาล ต่างก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเวลานอน เป็นตอนกลางวันแทน ซึ่งในอาชีพหมอยังต้องทำงานต่อยืดยาวไปเป็น 48 ถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้น ใช้หลับนกหรืองีบหลับเป็นพักๆแทน


ทีนี้ย้อนกลับมาเล็กน้อย อย่างที่เคยเรียนให้ทราบมาตลอดว่า การนอนดีเป็นเรื่องสำคัญมาก คำว่าดีไม่ใช่เพียงแค่ระยะเวลาของการนอนแต่หมายรวมถึงคุณภาพที่มีการหลับที่ต้องมีหลับลึก และมีการระบายของเสียออกจากสมอง หลังจากที่มีการใช้สมองมาตลอดโดยผ่านทางระบบท่อคล้ายน้ำเหลือง (glymphatic system) ที่ได้เคยเล่าให้ฟังไปแล้ว


ความแปรปรวนในการหลับและวงจรการหลับ-ตื่น ส่อให้เห็นถึงความผิดปกติของการทำงานของสมอง ที่เห็นได้ชัดเจนและบ่อยคือ ในโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคสมองเสื่อมชนิดที่พบบ่อยที่สุด อย่างน้อย 70 ถึง 80% ของสมองเสื่อมทั้งหมด ความแปรปรวนที่เกิดขึ้นจะพบได้ตั้งแต่แรกเริ่มของโรค โดยที่มีการตื่นบ่อยเวลากลางคืน ระยะของการหลับลึกที่ปล่อยให้สมองมีการพักผ่อน โดยคลื่นสมองมีจังหวะช้าลง จะลดน้อยถอยลง แม้ดูเหมือนว่าระยะเวลาของการหลับทั้งคืนนั้น จะยังไม่กระทบมาก แต่จะผนวกเข้าไปกับการนอนกลางวันมากขึ้น


มิหนำซ้ำ ในตอนกลางวันจะง่วงเหงาหาวนอนมาก และงัวเงียไม่ค่อยยอมตื่น และที่เป็นสัญญาณเตือนคือในช่วงเวลาโพล้เพล้ ตอนเย็นพลบค่ำ จะเกิดอารมณ์หงุดหงิด พฤติกรรมแปรปรวน จนถึงวุ่นวายอธิบายไม่ได้ ที่ฝรั่งเรียกกันว่า sun downing และเหล่านี้อาจจะเกิดนำมาก่อนหน้า ที่จะเริ่มมีการเสื่อมถอยของการทำงานของสมองที่เห็นได้ชัดด้วยซ้ำ


กลไกของการควบคุมการตื่นและหลับนั้น เหมือนกับการเปิด-ปิดสวิตช์ โดยมีกลุ่มเซลล์สมองที่กระตุ้นให้ตื่นหรือเปิดสวิตช์ WPN (wake-promoting neurons) อาทิ Noradrenergic locus coeruleus (LC) และ Orexin/hyprocretin-producing neuron ที่อยู่ในบริเวณ Lateral hypo thalamus area และอีกกลุ่มคือ Histaminergic neurons ใน tuberomamillary nucleus (TMN)


ขณะที่สวิตช์เปิด กลุ่มเซลล์ประสาทหลับ SPN (sleep–promoting neurons) จะถูกยับยั้ง ทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในบริเวณที่ลึกลงไปในเนื้อสมอง


สำหรับโปรตีนพิษที่เป็นตัวก่อเหตุอัลไซเมอร์นั้น ตัวที่รู้จักกันดีคือ “เบตาเอมีลอยด์” ซึ่งในตอนระยะแรกจะสะสมในบริเวณที่ผิวหรือเปลือกสมอง แต่มีอีกตัวคือ “โปรตีนทาว” ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้เซลล์สมองตายและทำให้โรครุนแรง ทั้งนี้โปรตีนทาวจะสะสมและปรากฏในบริเวณสมองส่วนลึกและที่ก้านสมองก่อนที่จะแพร่กระจายขึ้นไปถึงส่วนอื่น


จึงมีความเป็นไปได้ว่า โปรตีนพิษตัวหลังนี้ น่าจะเป็นตัวการสำคัญ ที่อธิบายปรากฏการณ์ผันผวนของการนอน แต่เนื่องจากการตรวจหาโปรตีนทาว ในตำแหน่งของสมอง ในปัจจุบันใช้เทคนิคเชิงเวชศาสตร์นิวเคลียร์ PET scan ซึ่งยังไม่แม่นยำพอที่จะระบุตำแหน่งของโปรตีนพิษในกลุ่มเซลล์สมองที่อยู่ลึกรวมทั้งที่อยู่ในก้านสมอง


และด้วยเหตุนี้เองเป็นที่มา ที่คณะผู้ศึกษาจากหลายสถาบันในสหรัฐฯ บราซิลและเยอรมนี (รายงานในวารสาร Alzheimer’s Dement ปี 2019) โดยทำการศึกษาสมองของผู้ป่วยที่เสียชีวิตและเป็นโรคสมองเสื่อมทั้งอัลไซเมอร์ CBD (Cortical basal degeneration) และ PSP (Progressive supranuclear palsy) และเจาะจงดูการกระจายตัวของโปรตีนทาวในที่ต่างๆ ในเครือข่ายเซลล์ที่กระตุ้นให้ตื่น และพร้อมกันนั้นดูรูปร่างของเซลล์และจำนวนที่แสดงถึงความผิดปกติไปพร้อมกัน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงพิษของโปรตีนทาว


ผลปรากฏว่าในอัลไซเมอร์ พบทั้งการสะสมโปรตีนพิษทาว ในกลุ่มเซลล์ประสาททั้งสามกลุ่ม (LC, LHA, TMN) และมีการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทไปพร้อมกัน แต่ในสมองเสื่อม CBD และ PSP แม้จะมีการสะสมของทาว แต่จำนวนเซลล์ประสาทยังคงอยู่ไม่เปลี่ยน แปลงหรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก


ทั้งนี้ เมื่อประมวลลักษณะอาการทางคลินิก จะพบความผิดปกติของการหลับในรูปแบบที่ต่างกัน โดยที่ในอัลไซเมอร์ ระยะเวลาของการนอนยังค่อนข้างปกติ แต่มีการตื่นบ่อยเป็นระยะ (sleep fragmentation) พ่วงไปกับการงีบหลับบ่อยตอนกลางวันและปลุกให้ตื่นยาก แถมยังมีสับสนตอนโพล้เพล้


ใน PSP ระยะเวลาของการนอนจะสั้นลงและหลับยาก และช่วงเวลาของการหลับแบบมีและไม่มีการกลอกลูกตาเร็ว (REM และ NREM) จะสั้นลง พร้อมกับที่คลื่นไฟฟ้าแกมมา จะมีมากขึ้นทั้งในขณะตื่นและหลับ (hyperarousal) ใน CBD ความแปรปรวนของการหลับตื่นจะไม่ชัดเจนเท่ากับในอัลไซเมอร์และ PSP


ผลของการศึกษานี้คือ ให้ฉากทัศน์ที่ต่างกับที่เคยเชื่อว่า ในอัลไซเมอร์การที่ปลุกตื่นยากเมื่องีบหลับตอนกลางวัน เป็นกระบวนการชดเชยจากที่ไม่ได้นอนหรือนอนไม่มีคุณภาพ แต่เป็นไปได้ว่า กลุ่มเซลล์สมองเครือข่ายที่กระตุ้นให้ตื่นผิดปกติไปมากกว่า และเครือข่ายนี้ เปราะบางและเสียหายได้ง่ายจากโปรตีนทาวของอัลไซเมอร์ (AD–Tau)


ในขณะที่โปรตีนทาวของ CBD และ PSP แม้ว่าจะพบในกลุ่มเซลล์ประสาทเครือข่ายนี้เช่นกัน แต่ประหนึ่งว่าไม่เป็นพิษอันตรายเท่าไหร่ ทั้งนี้ PSP และ CBD จัดเป็นกลุ่มที่เป็นสมองเสื่อมกำเนิดตรงจากโปรตีนทาว (primary tauopathy) แบบ 4R (four repeat)


โปรตีนพิษทาว ในอัลไซเมอร์ ถือว่าเป็นกระบวนการตาม (Secondary) และในปัจจุบัน ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ สามารถวัดระดับโปรตีนทาวในเลือดได้ phosphorylated หรือ pTau 181 ซึ่งสัมพันธ์กับพยาธิสภาพ neurofibrillary tangle ที่เกิดขึ้นในสมอง



งีบบ่อย ส่อ..เสี่ยงสมองเสื่อม (ตอน 2) หมอดื้อ รู้นะครับ กำลังจะงีบ ..รีบอ่านก่อน



ตอนนี้เรากลับมาที่เรื่อง งีบหลับกลางวัน (daytime napping) และพฤติกรรมการนอน โดยไม่ได้ใช้การตรวจสมองจากศพแล้ว แต่เป็นการวิเคราะห์ ยีนส์ รหัสพันธุกรรม แทน


คณะทำงาน ประกอบไปด้วยกลุ่มจาก Massachusetts General Hospital และ University Murcia ที่ สเปน และอีกหลายสถาบัน และรายงานในวารสาร Nature communications ต้นปี 2021 ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ค้นพบมาก่อนหน้านี้ ถึงยีนที่สัมพันธ์กับ ระยะเวลาของการนอน รูปแบบการนอนผิดปกติ และแนวโน้มที่จะตื่นแต่มืด หรือเป็นแบบมนุษย์นกฮูก คือนอนเกือบเช้า ตื่นเอาบ่ายหรือเย็น


โดยทำการวิเคราะห์ ศึกษาหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงของทั้งจีโนม ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมหรือนิสัยการนอน GWAS genome-wide association study ทั้งนี้ โดยอาศัยข้อมูลของรหัสพันธุกรรมมนุษย์ที่เก็บในคลัง UK biobank เป็นจำนวน 452,633 คน และจำแนกออกเป็นกลุ่มที่ไม่เคยงีบหลับ หรือ งีบน้อยมากตอนกลางวัน งีบบ้างบางเวลา หรืองีบเป็นประจำ


GWAS ได้ระบุ 123 regions ในจีโนมมนุษย์ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับการงีบหลับระหว่างวัน และเพื่อให้ข้อมูลมีความละเอียดชัดเจนขึ้น กลุ่มอาสาสมัครจำนวนหนึ่งยังติดเครื่องมอนิเตอร์ accelerometer ที่สะท้อนพฤติกรรมที่ทำในเวลากลางวันรวมถึงการงีบหลับ ข้อมูลของจีโนมของคณะนี้ที่พบ ยังพ้องไปกับข้อมูลการวิเคราะห์ในจำนวน 541,333 รายที่รวบรวมจาก 23andME (บริษัทรับตรวจยีนส์)


ผลการศึกษาได้ข้อสังเกตว่า พฤติกรรม การงีบกลางวัน เป็นลักษณะของบุคคลหรือเป็นการทดแทนการนอนไม่ดีตอนกลางคืนหรือการที่ต้องตื่นเช้าเกินไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เผินๆแล้ว ดูไม่น่าสนใจแต่เมื่อนำมาผนวกกับดัชนีสุขภาพทางด้านหัวใจและเมตตาบอลิค (cardiometabolic) พบว่าเริ่มมีความเกี่ยวพันกันกับ อ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น และจีโนมในบางตำแหน่งที่สัมพันธ์กับการงีบหลับกลางวันมีความเชื่อมโยงกับ orexin


ทั้งหลายทั้งปวงที่ปูพื้นมา แสดงให้เห็นว่าการนอนและการหลับตื่นที่แปรปรวนผิดปกตินั้น แท้จริงแล้วเป็นปรากฏการณ์ร่วมในโรคสมองเสื่อม ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละชนิด แต่ชัดเจนในสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ และเป็นความผิดปกติของกลุ่มเซลล์ประสาทที่กระตุ้นให้ตื่น โดยโปรตีนพิษ ทาว เป็นตัวก่อเหตุ


นอกจากนั้น รหัสพันธุกรรมที่ได้จากการศึกษาจีโนมมนุษย์ยังมีส่วนกำหนดพฤติกรรมของการนอนน้อย นอนนาน ชอบงีบหลับกลางวัน และเกี่ยวโยงไปถึงสุขภาพของร่างกายที่เกี่ยวกับหัวใจและเส้นเลือด ตรงกับที่เราทราบมานานพอสมควรแล้วว่าสุขภาพร่างกาย หัวใจหลอดเลือด ความดัน ไขมัน น้ำหนัก จะสัมพันธ์โดยตรงกับการสะสมของโปรตีนพิษใน สมองอัลไซเมอร์ โดยผ่านกระบวนการอักเสบ เป็นต้น


ทั้งนี้ทั้งนั้น มาขมวดถึงการศึกษาในต้นปี 2022 นี้เอง ในวารสาร Alzheimer’s Dement จากคณะทำงานในสหรัฐหลายสถาบัน UC San Francisco และ Harvard Medical School โดยวางสมมุติฐานต่อเนื่องจากความรู้ที่ผ่านมา โดยผลการศึกษา สามารถสรุปได้ว่า การงีบหลับกลางวันจะมากและบ่อยขึ้น แปรตามโรคและพยาธิสภาพของอัลไซเมอร์ และที่น่าประหลาดใจ (แกมตกใจ) ก็คือ ข้อมูลที่เป็นไปได้ว่า การงีบหลับกลางวันบ่อย นาน จะเร่งโรคอัลไซเมอร์ ทั้งนี้ แม้ว่าจะได้ปรับผลกระทบที่เกิดจากการที่นอนตอนกลางคืนไม่ดี หรือ ไม่มีคุณภาพแล้ว โดยสามารถสรุปได้ว่าการนอนกลางวันส่งผลสุ่มเสี่ยงให้เกิดโรคมากขึ้น


โครงการนี้ เริ่มในปี 2005  โดยมีอาสาสมัครทั้งหมด 1401 คนเป็นผู้หญิง 1065 คนเกณฑ์อายุเฉลี่ยที่ 81.4 ปีและมีการติดตามทุกปี โดยมีการประเมินสมรรถภาพสมอง หรือ ต้นทุนสมองด้วยการตรวจทางพุทธิปัญญา โรคร่วมที่มี เป็นต้น การศึกษาจบลงเมื่อสิ้นสุดเดือนเมษายน 2020


การสรุปความแปรปรวนความผิดปกติทางสมองโดยใช้แบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป ตั้งแต่ระดับ ก้ำกึ่ง (MCI mild cognitive impairment) หรือน้อย (mild) และระดับปานกลาง (moderate) จนถึง รุนแรง (severe) ตามลำดับ


สุขภาพและพฤติกรรมของการนอน วิเคราะห์ ในตอนกลางคืน ความผันแปรที่เกิดขึ้น ทั้งระยะเวลาทั้งหมดของการนอน จำนวนที่การนอนขาดช่วงเป็นระยะ และการตื่นหลังจากที่เริ่มมีการนอน ความผันผวนในระหว่างวันเดียวกัน และต่างวันกัน


เมื่อเริ่มต้นโครงการ 75.7% ของอาสาสมัครไม่มีความผิดปกติทางสมองเสื่อม และ 19.5% อยู่ในระดับก้ำกึ่ง(MCI) และ 4.1 % เป็นสมองเสื่อม

ในคนที่ปกติตั้งแต่เริ่มต้น การงีบหลับกลางวัน จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 11 นาที ต่อปี แต่แล้ว เมื่อพบว่าพัฒนาเป็นระดับ MCI การงีบหลับจะเพิ่มขึ้นสองเท่ากลายเป็น 24 นาที ต่อวัน และนานมากขึ้นเป็น 69 นาทีต่อวัน เมื่อถึงระดับสมองเสื่อมแล้ว


ในขณะเดียวกันได้ทำการวิเคราะห์อาสาสมัคร 24% ที่ปกติในตอนเริ่มต้น แต่พัฒนาเป็น อัลไซเมอร์ ในหกปีต่อมา พบว่าคนที่งีบหลับมากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 40% เมื่อเทียบกับคนที่งีบน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน และคนที่งีบมากกว่าหนึ่งครั้งต่อวันจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่งีบ น้อยกว่า หนึ่งครั้งถึง 40%


ผลการศึกษานี้ ยืนยันการศึกษาในปี 2019 ที่พบว่าผู้ชายสูงอายุที่งีบหลับกลางวัน 2 ชั่วโมงจะสุ่มเสี่ยงที่จะมีสติปัญญาเสื่อมถอยมากกว่าคนที่งีบน้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน


ผลที่ได้จากการศึกษานี้ เป็น bidirectional คือส่งผลได้ทั้งสองทิศทาง สมองเสื่อมมากงีบหลับมาก และงีบหลับกลางวันมากเร่งให้สมองเสื่อมมาก แต่กระนั้นยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีกลไกอะไร ที่การงีบนอนหลับกลางวัน บ่อยไป นานไป มากไปกลับเร่งสมองเสื่อม


จากนั้นนำ ไปถึง การตั้งคำถามต่อว่า ในประเทศที่มีประเพณีการงีบหลับ กลางวันตอนบ่าย  จะเกิดผลกระทบมากน้อยเท่าใด จะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งในประเทศสเปนเริ่มมีการพิเคราะห์เรื่องนี้แล้ว และขณะเดียวกัน การงีบกลางวันเพื่อที่จะชดเชยการนอนกลางคืนที่ไม่พอหรือที่คุณภาพไม่ดี ควรจะนอนเป็นเวลานานเท่าใด ที่จะเหมาะสม และแน่นอน  ต้องมีการเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพของร่างกายด้าน คาร์ดิโอเมตตาบอลิค (cardiometabolic) ทั้งนี้ จะมีการควบรวมกับยีน หรือจีโนมของแต่ละคนหรือไม่ว่า นอนอย่างไรนานเท่าไร นอนกลางวันหรือกลางคืน ที่สมองจะยังดีอยู่ หรือไม่เสื่อม


อ่านถึงตรงนี้  คงได้ข้อสรุปคล้าย ๆ กัน กับตัวหมอดื้อว่า เมื่อไหร่ง่วงก็นอน นอนไม่หลับ ก็ทำนู่นทำนี่ไป สำหรับหมอเองอีกไม่นานก็นอนยาวแล้วไว้ถึงตอนนั้นค่อยนอนดีกว่า

อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความพูดว่า "การพัฒนาเชิงรุก ร่วมกับ กระทรวง อว และ สวรส บริการตรวจเลือด เพื่อระบุ อัลไซเมอร์ หรือสมองเสื่อมอื่นๆ และระดับการทำลายสมอง ที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อรับรางแพกากรักาเน้นเหทาม ทั้งนี้ และที่มีอาการแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ L ช่องทางการติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ TRC- EID HS คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้อง 912 อาคาร อปร ชั้น9 โทร 02 256 4000 ต่อ 3562, 0841134443 (คุณอดิภา) Email [email protected] https://trceid.org @Line ID: trceid หรือ @Phone number: 0858581469 TRC EID กระทรวงการอุดมศึกษา จัยและdettdnม สถาบันวิจัยระบบสารารณสุข (สวรส.) Health Systems Research (HSRI)"









ขอบคุณข้อมูลจาก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha

ภาพจาก AFP

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง