TNN online "แต๊งค์ พงศกร" ควงภรรยาอุ้มท้อง เปิดใจผันจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่ !!

TNN ONLINE

บันเทิง

"แต๊งค์ พงศกร" ควงภรรยาอุ้มท้อง เปิดใจผันจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่ !!

แต๊งค์ พงศกร  ควงภรรยาอุ้มท้อง เปิดใจผันจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่ !!

อดีตนักแสดงวัยรุ่น "แต๊งค์ พงศกร มหาเปารยะ" จะมาเปิดเผยชีวิตสุดเหวี่ยงสายปาร์ตี้ ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เคยคิดฆ่าตัวตาย พร้อมเผยความรักกับภรรยา "พลอยไพลิน" ในรายการ "คุยแซ่บSHOW" ที่มี "บูม สุภาพร และ ชมพู่ ก่อนบ่าย" เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ตอนนี้ชีวิตพลิกผันมาเป็นหมอดู

แต๊งค์ พงศกร : ด้วยสถานการณ์โควิดทีเข้ามาทำให้ร้านปิดหมด เราก็เลยคิดว่าถ้าเราอยู่บ้านทำอะไร คนอยู่บ้านทำอะไร ทำไมเราไม่ลองหาอาชีพ หารายได้ ที่ทุกคนปิดอยู่บ้าน ซึ่งมีไม่กี่อย่าง ซึ่งก็มีไม่กี่อย่าง เราก็ทำเปิดไพ่ให้คนมาฟัง ให้คนมาปรึกษา และเอาวิชาที่เราเคยร่ำเรียนมาเพราะคุณแม่เคยให้ไปเรียนวิชานี้มาก่อนหน้านี้มาก่อน ซึ่งของผมเป็นวิชาเปิดไพ่ ซึ่งเป็นศาสตร์ค่อนข้างใหม่ เป็นการเอาตัวอักษรรูน ซึ่งเป็นตัวอักษรของชาวไวกิ้งทางยุโรปตอนเหนือน ซึ่งก่อนหน้านี้ก่อนคุณแม่จะแนะนำ เราเคยดูซีรีส์เกี่ยวกับไวกิ้ง เราก็เลยไปอ่านประวัติศาสตร์ของคนไวกิ้ง ว่าทำไมคนชาตินี้ถึงประสบความสำเร็จ ทำไมเขาถึงเก่ง เราก็เลยไปดูว่าเขานับถืออะไร ก็เลยทราบว่าเขามีวิธีคุยกับเทพเจ้าด้วยอักษรโบราณพวกนี้


แล้วไพ่พวกนี้ต้องสั่งทำพิเศษไหม

แต๊งค์ พงศกร :  ไพ่นี้อาจารย์ผมเขาทำขายอยู่แล้ว ซึ่งในเมืองไทยยังมีไม่เยอะ คือลักษณะของไพ่จะคล้ายๆ โปสการ์ด ภาพจะสวย ภาพจะมีเนื้อหาเนื้อเรื่องที่สามารถทำความเข้าใจง่าย  เราสามารถอธิบายกับลูกดวง ลูกค้าเราได้ง่ายๆ และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง


กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่มาเปิดไพ่

แต๊งค์ พงศกร :  เอาตรงๆ ว่าเรามีบุญเก่า มีฐานแฟนคลับจากละคร จากรายการ เขาก็เลยสนใจ บวกกับคนในวงการที่สนใจการดูดวง ตอนนี้คนอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ เขาก็ติดต่อเข้ามา ตัวเราเองตอนเริ่มทำครั้งแรกก็ตื่นเต้น เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะแม่นหรือไม่แม่น แต่พอได้เริ่มดู ได้เริ่มพูดคุยปรากฎว่าฟิตแบคกลับมาดี คนเขาก็บอกว่าชอบ ตรง คือผมก็ไม่อยากอวดอะไรเพราะด้วยวิชาของรูนเป็นวิชาที่ค่อนข้างใหม่ แต่วิชาของเขาค่อนข้างดีตรงที่ เป็นวิชาที่ง่าย รับฟังง่าย และตรงไปตรงมา มันก็เลยเหมือนกับว่าถูกจริตกับคนดู


ดูมานานขนาดไหนแล้ว

แต๊งค์ พงศกร : ก็ตั้งแต่ 6 เดือน ที่แล้ว คือช่วงที่เรียน คือเรียน 2 เดือน ระหว่างนั้นก่อนที่เราจะเริ่มดูออนไลน์ เราก็ทดลองดูให้พ่อแม่ พี่ น้อง ดูให้เพื่อน ให้คนสนิท คือดูแบบไม่คิดตังค์ ไม่คิดค่าครู เรียกว่าเก็บประสบการณ์


ดูมาแค่ 6 เดือน แต่รับวันละแค่ 6 คน ซึ่งคิวยาวไป 3 อาทิตย์แล้ว  

แต๊งค์  พงศกร :  ล่าสุดยาวไป 4 อาทิตย์แล้ว


ครั้งหนึ่งดูเท่าไหร่

แต๊งค์  พงศกร :  เราดูไม่แพง เรียกว่าเก็บประสบการณ์ คือ 199 คือ  1 คำถาม ซึ่งเป็นหัวข้อหลักๆ อย่างการงาน การเงิน ความรัก แต่ถ้าดูแบบครบชุด ดูแบบเหมาๆ คือ 499


ถ้าสนใจจะดูกับแตงค์ต้องเข้าทางไหน

แต๊งค์  พงศกร :  ก็ตามโซเชียลชื่อผมเลย พงศกร มหาเปารยะ ไอจีก็ @thankpm แล้วก็อินบ๊อกซ์มาคุยได้เลย


แต่ทราบว่า ก่อนหน้านี้ละครติดต่อมา5 เรื่อง แต่ไม่รับ เพราะอะไร

แต๊งค์  พงศกร :  คือเราไม่ได้มาทางสายการแสดงอยู่แล้ว คือแต่ก่อนคนอาจจะเห็นเราในวงการบันเทิงอาจจะเป็นเพราะคนเห็นเราในละครหินกลิ้ง คือหินกลิ้งเป็นบทที่ใกล้เคียงกับตัวเรา เราก็แสดงได้แบบสบายใจ แต่ถ้าเป็นบทที่ไกลตัว เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อการแสดง ผมก็จะรู้สึกว่าทำได้ไม่ดี ส่วนที่อยู่ในวงการบันเทิงเพราะเราชอบงานพิธีกรมากว่า เราชอบพูดคุย


ทราบว่าก่อนจะมาดูดวงก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตหนักหน่วง

แต๊งค์ พงศกร :  ก็หนักหน่วง พูดง่ายๆ คือผมเข้ามาด้วยการเล่นละคร ตอนนั้นผมยังใส่กางเกงขาสั้นเป็นนักเรียนอยู่ แต่ตอนนี้ผมอายุจะ 40 แล้ว ซึ่งทุกวันนี้คนยังจำในภาพที่เป็นหินกลิ้งอยู่เลย หลังจากนั้นก็มีข่าว ว่าไปคบกับคุณแตงโม (นิดา พัชรวีระพงษ์) มีข่าวกับคุณแตงโมก็มีทั้งดีและร้าย เราก็อยู่ในวงการ ล้มลุกคลุกคลาน มีข่าวโน้น ข่าวนี้


เห็นว่าเป็นสายปาร์ตี้ตัวยงด้วย

แต๊งค์ พงศกร :  ก็ใช่ ด้วยความที่เราเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่เล็ก ก็จะห่างเหินกับครอบครัวมาพอสมควร ก็เลยไม่ค่อยมีใครดูแล ติดเพื่อนด้วย คือเราติดเพื่อนตั้งแต่อยู่เมืองนอก ออกมาอยู่ข้างนอกก็อยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่กับครอบครัว เราก็จะอยู่กับเพื่อนตลอดเวลา เราไม่โทษเพื่อน เราไม่โทษใครเลย มันเป็นชะตาชีวิตของเรา  

ถามว่าสายปาร์ตี้หนักขนาดไหน พูดตรงๆ เลยว่า มีทั้งเรื่องยาเสพติด และการเกเร ที่เราถลำลึกไป ซึ่งตอนแรกก็สนุกสนาน เพราะสมัยนั้นเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คือสารเคมีในสมองเราเองก็ไม่ปกติ และมีการอยู่คนเดียวไม่มีที่ปรึกษา พอใช้สารเสพติดจากการใช้เพื่อความสนุก ตอนหลังก็เปลี่ยนเป็นพึ่งพามัน ก็ติดในวังวนนั้นมาตลอด ผมเชื่อว่าทุกคนที่เคยถลำเข้าไปในวังวนนี้ ทุกคนไม่อยากเริ่มยุ่งกับมัน และอยากออกมา แต่มันขึ้นอยู่กับว่าจะออกมาได้หรือเปล่า หรือออกมาอย่างไร สุดท้ายที่ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ ยังสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ เพราะเรามีกำลังใจที่ดีจากครอบครัว


เห็นว่าครอบครัวมีส่วนช่วยมาก เขาช่วยเราอย่างไรบ้างในการที่จะดึงเราออกมาจากตรงนั้น

แต๊งค์ พงศกร :  มันไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ มันมีแค่ความที่เราเข้าหากันมากขึ้น คือเข้ามาอยู่ด้วยกันมากขึ้น จากที่ตอนแรกเราค่อนข้างห่างจากครอบครัว พอเรามีปัญหา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ของผมท่านแยกกันอยู่ พอท่านเห็นปัญหาของเรา ทุกคนก็ขยับเข้าหาเรา เข้าใกล้เรามากขึ้น จากการที่ไม่ค่อยพูดคุยกัน มันก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้างในช่วงแรกเพราะต้องปรับจูนเข้าหากัน จนตอนนี้มันก็ค่อยๆ เข้าที่เข้าทาง เรารู้ว่าจุดที่เราควรจะอยู่คือตรงไหน เราควรจะทำตัวอย่างไร และจุดที่เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เราต้องการความช่วยเหลือเราก็ต้องรู้ตัว


กว่าจะรู้ตัว เข้าไปอยู่ในวังวนนั้นนานแค่ไหน

แต๊งค์  พงศกร :  ผมพูดตรงๆ ว่าตรงนี้ต้องสู้ตลอดชีวิต มันไม่มีคำว่าหายขาด เพราะฉะนั้นกำลังใจมันสำคัญมาก เพราะเราต้องตัดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นวงจรชีวิตเดิมๆ ตรงนี้ต้องตัดออกให้หมด ทุกวันนี้ก็ยังต้องสู้กับมันทุกวัน มันไม่มีทางหลุดไปได้ แต่อย่างที่บอกว่าคนที่อยุ่ข้างเรา เราต้องหันไปมองให้มากๆ โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างเรา คนที่รักเรา และพอพูดถึงครอบครัว ผมเป็นคนที่รอครอบครัวของตัวเองมานานมาก เพราะว่าผมเคยมีครอบครัวที่ห่างกัน ผมไม่อยากใช้คำว่าครอบครัวที่แตกแยก เพราะคุณพ่อ คุณแม่มีสิทธิ์เลือกความรักของตัวเอง ทุกคนก็ยังรักผมอยู่ เพียงแต่เราห่างกัน


บำบัดโรคซึมเศร้านานไหม

แต๊งค์ พงศกร :  ในเคสผมจะอีรุงตุงนังนิดหนึ่ง เพราะมีเรื่องของสารเสพติดด้วย ซึ่งมันส่งผลกระทบกันโดนตรง และหลายคนก็เป็นโรคนี้เพราะไปยุ่งกับสิ่งเสพติด อีกหลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้วแบบไม่รู้ตัว พอไปยุ่งสารเสพติดก็เหมือนซ้ำเติมตัวเองเข้าไปอีก เราก็ต้องค่อยๆ ปลดสลักออกทีละขั้น ต้องแก้ไขปัญหาไปทีละเสต็ป ของผมก็ต้องตัดเรื่องเพื่อน เรื่องสิ่งเสพติด ตัดวงจรที่ไม่ดีออกไปก่อน สุดท้ายแล้วพอตัดพวกนี้ออกมาอาการป่วยของเราก็จะทุเลาลงเอง หลังจากนั้นเราก็จะเริ่มมีสติมากขึ้น แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น


เรารู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคซึมเศร้า

แต๊งค์  พงศกร :  เรารู้เพราะอารมณ์เรารุนแรง บางคนใช้สารเสพติดแล้วอารมณ์รุนแรงนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่แล้ว แต่เราถึงขึ้นทำร้ายตัวเอง เคยคิดฆ่าตัวตาย แต่สุดท้าย ผมก็อยากจะบอกว่า ณ วันนั้น มันเป็นแค่การข่มขู่มากกว่า เพราะตอนนั้นแฟนจะเลิกจากกับเรา เราเลยใช้การทำร้ายตัวเองข่มขู่ สุดท้ายก็เป็นข่าวใหญ่ เพราะคนเป็นห่วงเรา ตอนนี้เราก็เลยกลับมาเป็นห่วงตัวเอง เพราะการทำให้คนอื่นเป็นห่วงมันไม่โอเค


เพราะการข่มขู่ตอนนั้นความสัมพันธ์กับแฟนไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม

แต๊งค์ พงศกร :  ก็ไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม ซึ่งคนที่มาตามเก็บ ตามเช็ดเรื่องราวของเราคือคุณแม่ คุณแม่ก็จับเราเข้าโรงพยาบาล ให้มาสงบสติอารมณ์ก่อน สุดท้ายก็กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ด้วยความช่วยเหลือของคุณแม่นี่แหละ และตอนนั้นโดนทำโทษ โดนยึดหมด ทั้งอายัดบัญชี กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ รถ กักบริเวณ ห้ามติดต่อกับเพื่อนเก่า ห้ามติดต่อกับแฟนเก่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะตอนนั้นผมจะตามไปราวีแฟนเก่า คือเราจะไปง้อนั่นแหละ พอต้องมาอยู่คนเดียว เราก็แก้ปัญหาโดยการออกกำลังกาย ตื่นเข้ามาก็เข้ายิม ผมว่าถ้าเรามีความสุขด้วยตัวเราเอง มีคุณค่าด้วยตัวเราเอง เราก็สามารถเอาชนะอย่างอื่นได้


ชีวิตปัจจุบันเป็นอย่างไร

แต๊งค์  พงศกร :  ณ วันนี้ผมมียาดี คือตอนนี้มีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว มีภรรยาเป็นของตัวเองแล้ว และภรรยาก็กำลังท้อง 7 เดือน มันเป็นกำลังใจให้เราแก้ไขตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง มีการยับยั้งชั่งใจมากขึ้น


ตอนนี้ท้องกี่เดือนแล้ว

พลอยไพลิน : ตอนนี้ 7 เดือนกว่าแล้ว ก็จะมีอาการแพ้ท้องตอนอายุครรภ์ 3-4 เดือนแรก ก็นอนทั้งวันเลยไม่ทำอะไรเลย แต่คนที่แพ้กว่าคือคุณแต๊งค์ ตอนนี้สุขภาพก็แข็งแรงดีไม่แพ้แล้ว ส่วนวันคลอดคุณหมอให้เลือกตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. – 5 ธ.ค. ซึ่งคุณพ่อเขาอยากให้เกิด 5 ธ.ค. ถ้าเขารอถึงวันนั้นได้ก็ผ่าวันนั้น ถ้าเขารอไม่ได้ก็คงห้ามไม่ได้ ไปอัลตาซาวน์แล้วได้ลูกชาย ถามว่ามีตั้งชื่อหรือยัง คือมีแล้วแต่เขายังไม่ให้บอก


แต๊งค์ พงศกร :  ชื่อลูกมีแล้ว แต่เรายังไม่ได้ปรึกษาคุณย่า คุณปู่ ก็มีเลือกไว้หลายชื่อแล้ว แต่มีที่เรา 2 คน ถูกใจตรงกันก็มี แต่ไว้ลูกออกมาก่อนค่อยเฉลย


คุณแต๊งค์แพ้ท้องแทนภรรยาเหรอ

แต๊งค์ พงศกร :  ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คือภรรยาผมเขาไปอ่านหนังสือมาเขาก็บอกว่าสามีก็มีแพ้แทนภรรยาเหมือนกัน  คือเราอายุเยอะแล้วไง เราก็วิตกจริต บางทีเราก็กินข้าวไม่ลงตามภรรยา แล้วก็มีเวียนหัวจะอาเจียน


พลอยไพลิน : เหมือนมันเป็นอาการทางจิตเวชอย่างหนึ่งที่คุณพ่อมีความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของคุณแม่


ตอนที่ทราบว่าคุณพลอยท้องเป็นอย่างไร

แต๊งค์ พงศกร :  คือพอเราคบกันสักพักเราก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน เพราะเราเป็นคนสมัยใหม่ ช่วงต้นปีประจำเดือนเขาเริ่มขาด พอขาดได้ 2 เดือน เราก็ไปซื้อที่ตรวจมา 4 อัน 4 ยี่ห้อ 4 แบบ แล้วตรวจ 4 อัน ปรากฎว่า 2 ขีด ทั้ง 4 อันเลย วันรุ่งขึ้นเราก็เลยโทรไปนัดคุณหมอ ช่วงบ่ายคุณหมอก็จับขึ้นเตียงอัลตร้าซาวนด์เลย แล้วคุณหมอก็บอกว่า แสดงความยินดีด้วย ลูก 2 เดือนแล้วนะคะ  ก็เห็นเป็นตัวแล้ว หลังจากนั้นเราก็ยกสายโทรหาคุณย่าของหลาน คุณพ่อคุณแม่ผม และครอบครัวฝั่งของพลอย ตกลงว่าจดทะเบียนไว้ก่อน เพราะช่วงนี้ติดโควิดยังไม่สามารถจัดงานอะไรได้ ตอนจดทะเบียนก็มีอุปสรรค์ เพราะวันที่จะไปจดทะเบียน เราขับรถไปเขตยานนาวา ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ ช่วงนี้ติดโควิด 50 เขตทั่วกรุงเทพไม่รับจดทะเบียนสมรส เราก็เลยไปจดทะเบียนที่ชะอำ จ.เพชรบุรี ขับรถไป เพราะเราไปเสิร์ตในอินเทอร์เนตว่าที่ไหนรับจดทะเบียนบ้าง เขาบอกว่าที่ชะอำจดทะเบียนได้ เราก็ขับรถไปกัน 2 คน ส่วนญาติผู้ใหญ่ผม และของเขาไม่มีใครได้ไปด้วย เพราะเขาก็เก็บตัว พอไปถึงเขตก็จดไม่ได้อีกเพราะไม่มีพยาน เพราะตามกฎหมายจดทะเบียนต้องมีพยานไปด้วย 2 คน สมัยก่อนเขาก็ให้เจ้าหน้าที่เขตลงชื่อเป็นพยานให้ แต่ในปัจจุบัน เขาไม่อยากให้เจ้าหน้าที่เป็นพยาน ก็อยากให้คู่สมรสหามาเองเพราะเวลามีปัญหาฟ้องหย่ากัน  สุดท้ายผมก็ต้องไปให้พี่วินมอร์เตอร์ไซด์และคนขับรถสองแถวมาเป็นพยาน และเราก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้เขา ก็ให้เขาคนละ 200 บาท รวมค่าน้ำมันอีก 100 บาท วันนั้นก็เลยได้ลงภาพจดทะเบียนในโซเชียลไป


เห็นว่าเป็นเพราะคุณพลอยทำให้เขาเปลี่ยนไป

พลอยไพลิน : ก็นานเหมือนกัน เพราะกว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นอีกคนได้ เพราะเขาเป็นคนเกราเยอะมาก


แล้วรู้จักกันได้อย่างไร

พลอยไพลิน : เขาแอดเฟสบุ๊คมา และเราก็คุ้นหน้าเขา เรารู้สึกว่าเขาน่าจะใช่ แต๊งค์ พงศกร ซึ่งต้องย้อนเวลากลับไป ซึ่งตอนนั้นหนูอายุประมาณ 12-13 ปี และเราก็อายุห่างกัน 10 ปี ช่วงนั้นเขามีข่าวกับพี่แตงโม ซึ่งพอเราดูในเฟสบุ๊คของเขา มีเพื่อนเยอะมาก ซึ่งดาราจะมีเพื่อนไม่เยอะขนาดนั้น เราก็เลยคิดว่าไม่น่าจะใช่


แต๊งค์  พงศกร :  คือตอนเริ่มคุยเราก็ทักเฟสบุ๊คไปเพราะตอนนั้นเป็นวันที่ผมโดนยึดทุกอย่างทั้งโทรศัพท์ ทั้งรถ ทั้งบัญชี แล้วผมมีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่งเป็นเครื่องของน้องชาย แล้วเราก็มีแค่เฟสบุ๊ค เราก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร เรากดแอดเฟสไปเพราะเขาน่ารัก ปรากฎว่าเขากดรับเฟรนตอนตี 1 ตี 2 พอเขารับแอดผมก็พิมพ์ว่ายังไม่นอนเหรอ  แล้วน้องเขาก็คุ้นหน้าเรา แล้วเขาก็ส่งข้อความมาถามว่าใช่ตัวจริงหรือเปล่า เราเห็นเขาตอบกลับว่าใช่ ก็แค่นั้น


เห็นว่าแต๊งค์จีบ ฮาร์ดเซลมาก

พลอยไพลิน : ก็ฮาร์ดเซลเพราะคืนนั้นที่เขาทักมาคือตอนตี 3 คือตอนที่เขาทักมาเป็นช่วงที่กำลังมีดราม่าว่าเขาจะฆ่าตัวตาย และเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งตอนนั้นเราก็เพิ่งโดนเทมาเหมือนกัน ซึ่งก่อนหน้านั้น 2 ปี หนูก็เคยเป็นโรคซึมเศร้างแล้วก็รักษาตัวอยู่ประมาณ 2 ปี เราพึ่งดีขึ้น เราก็คุยกับเขาเรื่องโรคซึมเศร้าไม่เคยคุยเรื่องอื่น ว่าเห็นเขาเป็นมาตลอดทำไมไม่หายสักที หนูก็เป็นเคยเป็น รักษา 2 ปี ก็หายแล้วนะ

แต๊งค์ พงศกร :  หลายคนอาจจะมองว่าเป็นอารมณ์คนป่วยมาเจอคนป่วยหรือเปล่า คือมันก็ไม่เสมอไปนะ คือโรคนี้บางคนขาดอย่างหนึ่ง อีกคนขาดอย่างหนึ่งพอมาเจอกันแล้วก็มาเติมเต็มกัน หรือว่าเราอาจจะมีมุมมองชีวิตในอนาคตที่ตรงกันก็ได้ ก็มาช่วยกัน


พอได้คบกันแต่ก็เกือบไปไม่รอด

แต๊งค์  พงศกร :  ใช่คืออย่างที่บอกผมมีด้านมืด บางทางกับแฟนเราก็มีเกเรมาก แต่เขาก็ตามจับได้ตลอด  


พลอยไพลิน : คือเขาจะมีเรื่องเกเรมากแต่เขาไม่เคยเจ้าชู้ เขาจะมีเรื่องอื่น ซึ่งเราไม่โอเค ซึ่งเราก็บอกเขาว่าถ้าทำอีกเราจะไปนะ เขาก็นึกว่าเราพูดเล่นไม่กล้าไปหรอก จนปลายปีที่แล้ว เราไม่ไหวแล้ว เราคิดว่าถ้าอยู่แบบนี้เราอยู่คนเดียวมันง่ายกว่า เราก็เก็บข้าวของเก็บเสื้อผ้าออกไปเลย แต่ปรากฎว่าลืมพาสปอร์ตกับของบางชิ้น ซึ่งเขาก็ตามไป


แต๊งค์พงศกร :  คือตอนนั้นน้องจะไปแล้ว แต่เขาลืมพาสปอร์ต และเพราะพาสสปอร์ตเล่มนี้แหละทำให้เราคิดได้ว่า คนเราถ้าจะตัดให้ขาดจากชีวิต จะเลิกกันจริงๆ พาสปอร์ตเล่มเดียวลืมบ้านแฟนเขาไม่กลับมาเอาหรอก เขากลับไปทำใหม่ แต่อันนี้เขาโทรมาบอกให้เราเอาไปคืน เราก็มองว่ามันเป็นฟางเส้นสุดท้าย ขาไปเราเอาพาสปอร์ตไปเล่มเดียว ขากลับเราหอบกระเป๋าเขากลับมาด้วย


อยากบอกอะไรกับภรรยา

แต๊งค์ พงศกร :  อย่างที่บอกไปว่าตัวผมเองก็รอครอบครัวของตัวเองมานานแล้ว แล้วเขาก็เหมือนเป็นคนที่ฟ้าได้ส่งมา เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องอยู่กับรับเราได้  พร้อมที่จะไปกับเรา พร้อมที่จะช่วยเหลือเรา และพลอยเขาก็เสียสละมาเพื่อช่วยเหลือผม ช่วยเหลือครอบครัวผม ในการทำชีวิตเราให้สมบูรณ์ขึ้น

พลอยไพลิน : อย่างที่บอกตอนแรกว่าเขาเป็นคนที่ต้องแก้ไขเยอะมาก เขาเกเรเยอะมาก มันอาจจะต้องใช้เวลา แต่เขาก็พิสูจน์ให้พลอยเห็นว่า  เขาไม่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้ทีเดียว แต่ทุกครั้งที่ทะกันทุกอย่างที่ผิดพลาดมันหายไป จนตอนนี้มันหายไปแทบจะหมดแล้ว  และในบางมุมพลอยเองก็มีมุมมืดๆ ของเรา ซึ่งเราก็ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ ซึ่งเราก็ขอบคุณเขาที่แม้ว่าบางครั้งเขาจะเข้มแข็งไม่ได้แต่เขาก็พยายามที่จะเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พักพิงให้เรา


แต๊งค์ พงศกร  ควงภรรยาอุ้มท้อง เปิดใจผันจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่ !!


แต๊งค์ พงศกร  ควงภรรยาอุ้มท้อง เปิดใจผันจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่ !!


แต๊งค์ พงศกร  ควงภรรยาอุ้มท้อง เปิดใจผันจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่ !!


แต๊งค์ พงศกร  ควงภรรยาอุ้มท้อง เปิดใจผันจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่ !!


แต๊งค์ พงศกร  ควงภรรยาอุ้มท้อง เปิดใจผันจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่ !!


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง