นโยบาย "ทรัมป์"กระทบไทย1.6 แสนล.

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า มาตรการแจกเงิน 10,000 บาทในระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะได้รับก่อนตรุษจีนปี 68 นั้น ไม่ใช่ตัวหลักที่จะช่วยขับกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า 

แต่ตัวหลักคือ มาตรการที่จะออกมาช่วยแก้หนี้ครัวเรือน และการปรับโครงสร้างหนี้ ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอย อยากให้ทำมาตรการในรูปแบบของ Easy e-receipt คือ การช้อปสินค้าหรือบริการกับร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อนำเงินที่ซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี

ส่วนปีหน้าประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากนโยบาย "ทรัมป์" ประมาณ 160,472 ล้านบาท จากการที่สหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีสินค้าำเข้าจากไทยร้อยละ 10  ดังนั้นถ้าเราไม่ใส่มาตรการอะไรเข้าไป ก็จะเป็นอุปสรรค ส่วนเงินโอนระยะ 2 แค่ 40,000  ล้านบาทไม่ได้เป็นแกนหลัก แต่แกนหลักอยู่ที่การปรับโครงสร้างหนี้ แต่ก็ควรจะทำต่อ (เงินโอน ระยะ 2) เพราะเป็นการดูแลค่าใช้จ่าย และยังช่วยเสริมเศรษฐกิจ ถ้าไม่ทำ จะทำให้เศรษฐกิจไม่คึกคัก 

แต่หากอยากกระตุกเศรษฐกิจให้หมุนได้ต่อ ก็ควรมีมาตรการเกี่ยวกับช้อปดีมีคืน หรือ e-receipt เชื่อว่ารัฐบาลจะตัดสินใจได้ง่ายกว่า เพราะไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ แค่รับเงินจากภาษีเงินได้น้อยลงในอนาคต แต่มาตรการนี้ จะสามารถอัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้ 30,000-50,000 ล้านบา ตามวงเงินของการใช้จ่าย จากที่คาดว่าจะมีประชาชนใช้มาตรการนี้ราว 1 ล้านคน 

ที่มา TNN