เซียน VI "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ลดพอร์ตหุ้นไทยโยกซื้อหุ้นโลก
เซียนหุ้น VI อย่าง "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" เปิดเผย “Playbook” การลงทุนปี 2567 ด้วยเป้าหมายที่จะลดน้ำหนักหุ้นไทย เพื่อโยกไปสะสมหุ้น "เวียดนาม" ในสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของพอร์ต เพื่อให้เป็น “กองหน้า” เสริมด้วย "หุ้นโลก" ที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนหุ้นคุณค่า เขียนบทความไว้ในบล็อกของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) โดยระบุว่าตั้งแต่ต้นปี 2567 ตนได้วาง “Playbook” ของการลงทุนเอาไว้ ว่าจะปรับพอร์ตการลงทุนระยะยาวให้ประกอบไปด้วยหุ้นเวียดนามประมาณ 1 ใน 3 ของพอร์ต เพื่อให้เป็น “กองหน้า” ที่จะใช้ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด โดยจะเน้นเลือกหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” หรือหุ้นที่จะเติบโตระยะยาว มีความสามารถในการแข่งขันสูงและยั่งยืน
โดยหลังวาง “Playbook” ดังกล่าว ดร.นิเวศน์ก็ได้ทยอยขายหุ้นตัวเล็ก ๆ ราคาถูก ที่ถือมายาวนานไปทั้งหมดนับร้อยตัว และใช้เงินที่ได้ซื้อหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ขนาดใหญ่ไม่เกิน 10 ตัว ซึ่งมีประมาณ 5 ตัว ที่ใหญ่ที่สุดโดยคิดเป็นน้ำหนักกว่าร้อยละ 75 ของพอร์ตไปแล้ว
ส่วนหุ้นกลุ่มที่สองอีกประมาณ 1 ใน 3 จะเป็นหุ้นกลุ่มใหม่ที่ ดร.นิเวศน์บอกว่า "ไม่เคยลงทุนมาก่อน" และเรียกได้ว่า “หุ้นโลก” เพราะเป็นหุ้นของบริษัทที่มักจะ “ขายสินค้าไปทั่วโลก” และคนทั่วไปมักจะรู้จัก และคุ้นเคยกับสินค้าเป็นอย่างดี เช่น การดูหนังผ่าน Netflix การใช้โปรแกรมสารพัดในคอมพิวเตอร์ หรือการแต่งกายจากแบรนด์หรูระดับโลก เป็นต้น
ซึ่งแผนนี้ ดร.นิเวศน์ ตั้งเป้าว่าภายในปี 2567 น่าจะสามารถลงทุนเม็ดเงินจนครบในหุ้นโลกได้ โดยกลยุทธ์ที่ใช้นั้น จะเป็นการซื้อผ่าน DR หรือ DRx หรือกองทุนที่จดทะเบียนในประเทศไทย เพราะจะทำให้ไม่ต้องเสียภาษี Capital Gain เมื่อขายหุ้นแล้วได้กำไร ขณะที่หน้าตาของหุ้นในพอร์ต ก็พบว่าน่าจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือหุ้นในตลาดหุ้นอเมริกาและยุโรปตะวันตก และกลุ่มหุ้นของจีน นอกจากนั้น ก็อาจจะมีหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่โดดเด่น เช่น หุ้นอินเดียและหุ้นเวียดนาม ที่มีการทำ DR ในตลาดหุ้นไทยด้วย
ดร.นิเวศน์ระบุว่าในความเห็นส่วนตัว มองว่าหุ้นอเมริกานั้นมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน และก็ยังเติบโตได้ แม้ว่าจะไม่สูงมากนัก จากอานิสงค์ที่เศรษฐกิจอเมริกาและโลกกำลังชะลอตัวลง แต่อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นก็สูงขึ้นมาก และอยู่ในระดับ “All Time High” แม้ว่าจะมีการปรับตัวลงมาบ้าง ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่าการเข้าไปลงทุน มีความเสี่ยงไม่น้อย
ส่วนหุ้นจีนนั้น แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เพราะหุ้นจีนอยู่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำต่อเนื่องยาวนาน จากอานิสงค์เศรษฐกิจที่มีปัญหา นอกจากนั้น สงครามการค้ากับอเมริกาและประเทศโลกเสรีที่พัฒนาแล้ว ได้ทำให้มีการถอนทุนจากประเทศจีนและตลาดหุ้นจีน ส่งผลให้หุ้นจีนตกลงมาต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้น จึงทำให้ราคาหุ้นชั้นดีรวมถึงหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีราคาถูก “เป็นประวัติการณ์”
อย่างไรก็ตาม ดร.นิเวศน์ระบุว่าแผนทั้งหมดที่วางไว้ กลับมีสองเรื่องที่หน่วงเอาไว้ และทำให้ไม่ได้เริ่มจนถึงวันนี้ เรื่องแรกก็คือเม็ดเงินที่จะใช้ ยังมีไม่พอ เพราะส่วนหนึ่งได้ขายหุ้นไทยออกไปน้อยมาก เนื่องจากยังรอ “ก๊อกสุดท้าย” หรือวันที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปสูงพอที่จะขายหุ้นจำนวนมากได้
เรื่องที่สองก็คือ จากวันนี้ไปอีกประมาณ 40 วัน ก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ จึงอยากจะรอเพื่อที่จะดูว่าความเสี่ยงของตลาดหุ้นหลังจากวันนั้น จะเป็นอย่างไรต่อไป
แต่ในระหว่างที่รอนั้น ทางการจีนก็ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รวมถึงการผ่อนคลายทางการเงินหลาย ๆ มาตรการ ซึ่งรวมถึงการลดดอกเบี้ย เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทั้งในทรัพย์สินที่จับต้องได้และในตลาดหุ้น สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จีนที่หงอยเหงามานาน ก็วิ่งขึ้นแบบ “ระเบิด” ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว โดยดัชนีหลัก ๆ ของทุกตลาดในจีนและฮ่องกง ปรับตัวขึ้นไปกว่าร้อยละ 10 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาเป็นเวลากว่า 10 ปี
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ ดร.นิเวศน์ รู้สึกตนเองกำลัง “ตกรถ” หรืออาจจะไม่ได้ซื้อหุ้นจีนเพื่อลงทุนรอบนี้ ถ้าหุ้นที่ขึ้นไปแล้วไม่ถอยลงมา โดยแม้ว่าหลายคนจะมองว่าราคาหุ้นจีนตอนนี้ ก็ยังไม่แพงถ้ามองจากค่า PE ที่ยังไม่สูง แต่ก็ยังทำใจยาก ที่จะต้องซื้อแพงขึ้นไปอีกประมาณเกือบร้อยละ20
นอกจากนี้ ยังรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้คิดหรือทำเรื่องการลงทุนในหุ้นโลกเร็วกว่านี้ โดยเฉพาะเงินสดประมาณร้อยละ 5-6 ที่ถือมานาน และควรจะเริ่มเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนและหุ้นที่ถูกกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจของจีน เช่น หุ้นหลุยส์วิตตองที่ราคาตกต่ำมาช่วงหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ทำ
ดังนั้น เมื่อมาถึงจุดที่ไม่สามารถซื้อหุ้นโลกที่จะปลอดภัยได้เลย สิ่งที่ดร.นิเวศน์ วางแผนไว้ก็คือ อาจจะต้อง “รอต่อไป” จนกว่าจะมีหุ้นโลกที่เหมาะสมที่จะซื้อ และรอต่อไปจนกว่าจะสามารถขายหุ้นไทยให้ลดลงจนเหลือประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมด แม้ในระหว่างนี้ ตนจะมีเงินสดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม เพราะ "วอเร็น บัฟเฟตต์" เอง ก็ถือเงินสด “มหาศาล” มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ "เบิร์กเชียร์" โดยไม่ได้เดือดร้อน และก็ไม่เสียดายที่ไม่ได้ลงทุน ในช่วงที่คนอเมริกันบอกว่าควรจะลงทุนมากที่สุด ตราบที่เขาไม่เห็นว่าหุ้นถูกและคุ้มค่าที่จะลงทุน
ข่าวแนะนำ