TNN รัฐบาลแพทองธารมีเงิน 3 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ

TNN

เศรษฐกิจ

รัฐบาลแพทองธารมีเงิน 3 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ

เป็นธรรมเนียมของรัฐบาลใหม่ เมื่อเข้ามาทำงาน สิ่งที่ต้องทำทันทีคือการกระตุ้นเศรษฐกิจเรียกความเชื่อมั่น ล่าสุดมีเงินเตรียมพร้อมไว้ให้ใช้แล้ว

รัฐบาลภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เริ่มต้นทำงานแล้ว โดยเมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมามีการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดพิเศษ เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 12-13 ก.ย.นี้ ประเด็นที่จับตามองกันคือในเรื่องเงินดิจิทัล และการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลชุดนี้จะดำเนินการอย่างไรบ้าง

นายกฯ แถลงข่าวหลังการประชุมครม.ว่า รัฐมนตรีชุดใหม่พร้อมที่จะทำงานทันที เพราะทุกวันนี้ปัญหาของประเทศเป็นปัญหาเรื้อรัง และท้าทาย รัฐบาลจึงนำปัญหาต่างๆ มาเปลี่ยนเป็นนโบายเร่งด่วน นโยบายระยะกลาง และระยะยาว 

สำหรับนโยบายเร่งด่วน เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

 ส่วนนโยบายระยะกลาง และระยะยาว ก็จะต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม การเสริมสร้างด้านการสร้างสรรค์ในเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ การเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานทางทั้งทางด้านคมนาคม รวมถึงการผลักดันไทยให้เป็นฐานและศูนย์กลาง(ฮับ) ภูมิภาคอย่างที่รัฐบาลเศรษฐาเคยวางไว้ เช่น ฮับการบิน ฮับการเงิน ฮับโลจิสติกส์ คาดว่าไม่เกิน 3 เดือนข้างหน้าจะเป็นผลงานต่างๆ ของรัฐบาลชุดใหม่อย่างแน่นอน 

 นายกฯ มีการพูดถึง โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่ามอบหมยให้ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง พูดในรายละเอียด โดยยืนยันว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นทันทีแน่นอน เพราะเป็นนโยบายแรกที่รัฐบาลชุดนี้เน้นย้ำ และจะผลักดันต่อไป 

ทางด้านจุลพันธ์ ระบุว่า ขณะนี้ไทม์ไลน์โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ยังคงเป็นไปตามกรอบเดิม และภายหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ครม.ชุดใหม่ก็จะประชุมครม. เพื่อหารือถึงการเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัล และคาดว่าเริ่มได้ทันทีภายในเดือนก.ย.นี้ โดยขณะนี้การดำเนินการที่เกี่ยวกับเงินดิจิทัลยังเดินหน้าต่อไป เช่น การลงทะเบียน ที่มีกำหนดปิดลงทะเบียนสำหรับกลุ่มสมาร์ทโฟนในวันที่ 15 ก.ย.นี้เช่นเดิม จากนั้นวันที่ 16 ก.ย.ก็จะเปิดให้กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนลงทะเบียนจนถึงวันที่ 15 ต.ค.โดยคาดว่าจะมีการแถลงเรื่องนี้ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ 

ถ้าไปดูนโยบายของรัฐบาลที่เตรียมแถลงต่อสภาฯ ในเรื่องเงินดิจิทัล จะอยู่ในนโยบายที่ 5 คือ  “การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยคำแถลงนโยบายระบุว่า รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสําคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลําดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ ที่มุ่งการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง แหล่งทุนเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน และการประกอบอาชีพ

ถ้าดูกรอบงบประมาณ การให้เงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง คงต้องเร่งดำเนินการภายใน 30 กันยายนนี้ เพราะมีการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว  โดยเป็นงบของปีประมาณ 2567 ที่มีกำหนดต้องจ่ายเงินหรืออนุมัติโครงการในวันสุดท้ายคือ 30 กันยายน  2567 เพราะวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันเริ่มงบประมาณใหม่ปี 2568 แล้ว ถ้าไม่สามารถเบิกจ่ายงบได้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ต้องถูกพับโครงการหรือยกเลิกไป 

คาดว่าวิธีการเร็วสุดในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง คือโอนเงินให้ผ่านโครงการสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย โดยกลุ่มเปราะส่วนใหญ่อยู่ในโครงการนี้ 

สอดคล้องกับที่ จุลพันธ์ ระบุว่า โครงการเงินดิจิทัลอาจต้องมีการปรับเปลี่ยน เช่น บางส่วนจ่ายให้เป็นเงินโอน เป็นเงินสด และมีบางส่วนให้แบบวอลเล็ต เพราะเข้าใจว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องรีบ รัฐบาลก็ต้องบริหารให้มีความเหมาะสม 

มีความจำเป็นต้องเร่งจ่ายเงินให้ถึงมือประชาชนเร็วที่สุด เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นฟูโดยเร็ว ในขณะเดียวกัน โครงการนี้ต้องการสร้างรากฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัลให้คนมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี ดังนั้นจำเป็นต้องทำไปแบบคู่ขนาน 

สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ มีการเตรียมพร้อมวงเงินไว้แล้วประมาณกว่า 3 แสนล้านบาท “แบ่งเป็นงบที่เตรียมไว้สำหรับโครงการเงินดิจิทัล โดยมาจากงบประมาณในปี 2567 วงเงิน 142,000 ล้านบาท” ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกลางปี 2567 วงเงิน 122,000 ล้านปี และงบฯกลาง สำรองจ่ายปี 2567 เบื้องต้น วงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท 

“อีกส่วนมาจากงบประมาณปี 2568 ในส่วนงบฯกลาง มีวงเงิน 187,000 ล้านบาท” ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มจากเดิมที่วางไว้ 152,000 ล้านาท ประมาณ 35,000 ล้านบาท

 ทางด้านภาคเอกชนในนาม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบการสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีการประชุมคณะกรรมการ กกร. ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธาน กกร. กล่าวถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ อยากให้ส่งผ่านเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการช่วยกลุ่มเปราะบางโดยเร็วที่สุด ถ้าเร่งอัดฉีดตรงนี้ได้จะช่วยสร้างบรรยากาศให้เศรษฐกิจดีขึ้น และยังเป็นการช่วยเศรษฐกิจฐานรากที่กำลังลำบากได้ด้วย

ด้าน สนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนหลังจากจัดตั้งคณะรัฐบาลคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนคนไทย โดยทางสภาหอการค้าฯ มองว่านโยบายเรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท ควรต้องแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางก่อน เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ถ้ามีเงินอัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้มาก 

 ก่อนหน้านี้เอกชนในนาม กกร. ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” โดยทางกกร.มีการสรุปข้อเสนอ ซึ่งสิ่งที่อยากเห็นคือการแก้ปัญหาท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว พบว่าโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 7 เดือนแรกกว่า 757 แห่ง มีหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจนอกระบบมีขนาดใหญ่” 

ล่าสุดที่ประชุม “กกร. มีข้อสรุปจึงเร่งจัดทำสมุดปกขาว” นำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

“กกร.มีความกังวลว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง”  โดยเครื่องชี้ด้านการผลิต PMI Manufacturing เดือนสิงหาคมของประเทศหลักที่เป็นคู่ค้าไทยทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ต่างหดตัว โดยสหรัฐฯส่งสัญญาณพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ค่าระวางเรือยังสูงกว่าสภาวะปกติ 3 เท่าตัวเป็นปัจจัยลบต่อการค้าโลก อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคมเติบโตถึงร้อยละ 15.2 จากแรงหนุนของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ของโลก และคาดว่าทั้งปีจะเติบโตได้ร้อยละ 1.5-2.5 สูงกว่าประมาณการเดิมที่ ร้อยละ 0.8-1.5 แต่การเติบโตดังกล่าวยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้าง ดังนั้นรัฐบาลควรต้องมีนโยบายออกมาเพื่อรับมือทั้งกับการส่งออก การลงทุน และต้องเร่งวางรากฐานของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ไม่เช่นนั้นอาจกระทบต่อตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยปีนี้กกร.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะโตร้อยละ 2.2 -2.7 ยังเป็นตัวเลขที่ต่ำประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่สามารถเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4-5

ข่าวแนะนำ