โลกร้อน-ฝุ่น-มลพิษ แนวโน้มสิ่งแวดล้อมโลกที่ไทยต้องรับมือ
โลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งภาวะโลกร้อน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก มลพิษต่างๆ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งภาวะโลกร้อน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก มลพิษต่างๆ ไทยต้องรับมือเพื่อสร้างอนามัยสิ่งแวดล้อมที่ดีและช่วยลดกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ของสภาพแวดล้อมและระบบภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดภาวะฉุกเฉิน สาธารณภัย และภัยพิบัติที่มีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพของประชาชน สำหรับประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งจากภัยความร้อน อุทกภัย และภัยแล้ง
โดยเฉพาะภัยความร้อนจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น พบว่าในปี 2566 ในช่วงเดือนเมษายน จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีอุณหภูมิสูงสุดถึง 44.6 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงสุดในประเทศไทย เกิดภาวะเจ็บป่วยของประชาชนในพื้นที่ทั้งภาวะลมแดด และร่างกายขาดน้ำจำนวนมาก
นอกจากนี้ พบสถานการณ์วิกฤตจากฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ที่มีค่าเกินมาตรฐานในหลายจังหวัดและมีระยะเวลาเกิดมลพิษที่ยาวนานมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแค่ปัญหาสุขภาพที่มาจากสภาวะสิ่งแวดล้อมที่แปรปรวนที่เกิดจากปัจจัยผลกระทบของการเปลี่ยนเปลี่ยนทางสภาพภูมิอากาศ แต่ปัญหาด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องคือปัญหาขยะ ทั้งขยะทั่วไปจากชุมชนที่มาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนจากโรคโควิด 19 ที่ประชาชนใช้บริการระบบขนส่งแบบเดลิเวอรี่มากขึ้น เกิดขยะจากบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งปริมาณขยะอันตรายที่เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันจากกระแสการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาทดแทนของเดิมและเริ่มนำมาใช้ในครัวเรือน และที่ทำงานเกิดเป็นซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกมากขึ้น ส่งผลต่อปริมาณขยะอันตรายที่ต้องถูกส่งไปกำจัดเป็นภาระของการให้บริการของหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าสถานการณ์อนามัยสิ่งแวดล้อมโลก และการเกิดโรคระบาดต่างๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทั้งสิ้น กรมอนามัยจึงได้เตรียมความพร้อมรับมือขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม
โดยใช้หลัก 2P2R ในการจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขสำหรับกรณีภัยพิบัติ/สาธารณภัย ประกอบด้วย
1) P: Prevention and Mitigation การป้องกันและลดผลกระทบ โดยเพิ่มระบบป้องกันและลดความเสี่ยงภัยสุขภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต เช่น การสร้างห้องปลอดฝุ่นในครัวเรือนหรือชุมชน การยกพื้นหรือใช้วัสดุป้องกันน้ำท่วม เป็นต้น
2) P: Preparedness การเตรียมความพร้อม ด้วยการเตรียมกำลังคนที่มีความรู้ ศักยภาพในการสนับสนุนการจัดสุขาภิบาล สุขอนามัย และอนามัยสิ่งแวดล้อมในช่วงเกิดภัยพิบัติ
3) R: Response การตอบโต้หรือเผชิญเหตุ สนับสนุนทีมเจ้าหน้าที่ด้านส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการเฝ้าระวังความเสี่ยง การปนเปื้อนเชื้อโรค สารเคมีในสิ่งแวดล้อม แหล่งอาหาร แหล่งน้ำที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทั้งในชุมชนที่ประสบภัย และภายในศูนย์อพยพจากภัยพิบัติ
4) R: Recovery การฟื้นฟูหลังเกิด เน้นทบทวน และปรับปรุงระบบอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เสียไปจากภัยพิบัติ เช่น ระบบประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบเฝ้าระวังเฝ้าระวัง และจัดสภาพแวดล้อมสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ให้กลับสู่ภาวะปกติไม่มีความเสี่ยงสุขภาพประชาชน
ข้อมูลจาก กรมอนามัย
ภาพจาก TNN ONLINE