ทั่วโลกเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เปิดผลวิจัยลดเสี่ยงป่วยโควิด-19 ได้จริงหรือไม่

วันนี้ (8พ.ย.64) ตัวเลขคนติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศมาตลอด 2564 (2021) โดยมีเชื้อกลายพันธุ์อย่างสายพันธุ์เดลต้าเป็นตัวการเสริมพันธุ์แกร่งให้ไวรัสยังไม่หมดไปจากโลกของเรา

ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลกต่างกังวลว่าประสิทธิภาพของวัคซีนที่ฉีดให้ประชาชนไปแล้ว กำลังค่อยๆ ลดลง ไม่ได้เสริมเกราะร่างกายให้ต้านทานเชื้อกลายพันธุ์ใหม่ๆ ที่พัฒนาตัวมันเอง ดังนั้น ทางแก้ ก็คือ รัฐบาลหลายประเทศหันมาฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือ เข็มกระตุ้นให้กับประชาชนในประเทศของตัวเอง เพื่อรักษาภูมิคุ้มกันต่อโควิดในระยะยาว 

ตัวอย่างประเทศ ที่เปิดตัวแผนฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชน ก็คือ อิสราเอล ที่ระดมฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับประชาชนก่อนใครเพื่อน ซึ่งการเดินหน้าแผนนี้ ประจวบเหมาะกับช่วงที่อิสราเอลเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 4 เกิดขึ้นช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา

โลกเริ่มฉีดเข็มกระตุ้น คนลุ้นผลป้องกันโควิดได้จริง?

เมื่อเริ่มเดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น คนก็อยากรู้ว่า เข็มกระตุ้นเสริมภูมิได้จริงหรือไม่ เรื่องนี้ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐฯ และสถาบันวิจัยคลาลิต องค์กรด้านสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอลร่วมมือกันศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งงานวิจัยนี้เผยแพร่ในวารสาร Lancet ถือเป็นงานการศึกษาวิจัยงานแรกที่วัดประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์เข็มกระตุ้นว่ามีประสิทธิภาพสกัดโควิดได้ตามที่ตั้งความหวังกันหรือไม่

ผลวิจัยจากต่างประเทศเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้น

ทีมวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยงานด้านสุขภาพของอิสราเอล ติตตามผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 728,321 คนระหว่างเดือนกรกฏาคม ถึง กันยายนที่ผ่านมา 

ในการศึกษาครั้งนี้ ทีมวิจัยได้ประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน เริ่มตั้งแต่ 7 วัน หลังจากรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ใช้ในการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิด-19 เข็มสอง รวมถึงตรวจสอบว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยลดป่วยรุนแรง และการเสียชีวิตได้

วัคซีนเข็มสามสร้างภูมิสูง ลดเสี่ยงติดโควิด-19 ดีมาก

จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยลดความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลได้ร้อยละ 93 เมื่อเปรียบเทียบกับกับคนที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มมาแล้ว 5 เดือน

ทีมวิจัยพบประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้น พบร้อยละ 92 ของคนที่รับวัคซีน มีความเสี่ยงต่ำมากที่ติดโควิดแล้วป่วยหนัก และร้อยละ 81 เสี่ยงต่ำมากที่จะเสียชีวิตจากโควิด-19 

นอกจากนี้ ผลการทดสอบในกลุ่มผู้หญิงและผู้ชายนั้นไม่ได้แตกต่างกัน

ใครควรรับวัคซีนเข็ม 3 บ้าง ?

องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ขยายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน โดยในขณะนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กลุ่มคนดังต่อไปนี้

1.คนอายุ 65 ปีขึ้นไป

2.คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีอาการป่วยเรื้อรัง/โรคประจำตัว 

3.คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัย หรือ ทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

4.คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ได้รับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ฉีดเข็มเดียว)

โดยระบุว่า กลุ่มคนที่อยู่ในกลุ่มนี้ควรรับวัคซีนเข็มกระตุ้น และสามารถเลือกวัคซีนที่ตัวเองต้องการได้

Kaiser Family Foundation ทำการศึกษาความต้องการฉีดวัคซีนเข็มสาม พบว่า ร้อยละ 43 ของผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้ว จะไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นทันทีที่หาได้ ส่วนอีกร้อยละ 24 ลังเลจะรับวัคซีนเข็มกระตุ้น 

จากข้อมูลช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาพบว่า ในช่วงเวลานั้นมีชาวอเมริกันราว 15 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้

ชาวอเมริกันเข้าเกณฑ์ แต่ดันไม่รู้ว่าต้องไปฉีดเข็มกระตุ้น 

นายแพทย์โดนัลด์ เจ อัลเซดอร์ จากวิทยาลัยการแพททย์ Meharry มองสถานการณ์ปัจจุบันในสหรัฐฯ เกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้นว่า ชาวอเมริกันจำนวนมากเข้าเกณฑ์รับวัคซีนเข็มกระตุ้นได้ แต่พวกเขาไม่รู้เอง

ตามเกณฑ์ของ CDC สหรัฐฯ พูดถึงคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีอาการป่วยเรื้อรัง/โรคประจำตัว ซึ่งคนกลุ่มนี้มีสิทธิ์เข้ารับวัคซีนได้ 

โดยจะพิจารณาตามรายชื่อโรคเรื้อรัง 6 โรคที่ระบุไว้

1.โรคหืดหอบ

2.โรคเบาหวาน

3.โรคหัวใจ

4.โรคปอดเรื้อรัง

5.กลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือ โรคอ้วน

6.โรคการใช้สารเสพติด

นอกจากนี้ ยังมีกรณีพิเศษที่สามารถรับวัคซีนข็มกระตุ้นได้ ก็คือกลุ่มคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เพราะพวกเขามีภาวะการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อต้านแอนติเจน ซึ่งแม้รับวัคซีนไปแล้วสองเข็มแต่ภูมิกุ้มกันอาจสร้างได้ไม่เท่ากับคนปกติ

สิ่งที่น่ากังวลตอนนี้ คือ กลุ่มคนที่ไม่ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในสหรัฐฯ มีคนอีกหลายล้านคนที่ไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อาจกลายเป็นเปิดทางให้ไวรัสพัฒนาตัวเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในกลุ่มคนที่รับวัคซีนไปแล้ว ยิ่งขยายวงการระบาดของไวรัสให้ไม่จบไม่สิ้น 

ภาพจาก TNN ONLINE