TNN online 1 พ.ย. นี้ เริ่มเปิดประเทศ เช็กมาตรการอีกครั้ง มั่นใจปลอดภัยโควิด และไม่ผิดกฎหมาย

TNN ONLINE

เกาะติด COVID-19

1 พ.ย. นี้ เริ่มเปิดประเทศ เช็กมาตรการอีกครั้ง มั่นใจปลอดภัยโควิด และไม่ผิดกฎหมาย

1 พ.ย. นี้ เริ่มเปิดประเทศ เช็กมาตรการอีกครั้ง มั่นใจปลอดภัยโควิด และไม่ผิดกฎหมาย

1 พ.ย. นี้ เริ่มเปิดประเทศ เช็กมาตรการล่าสุดรับเปิดประเทศ มั่นใจปลอดภัยโควิด และไม่ผิดกฎหมาย

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 37) 

ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไปเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นั้น


ในช่วงเวลาที่ผ่านมาถือเป็นความท้าทายและเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญที่ประเทศไทยได้ข้ามผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลกโดยอาศัยการประสานความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วน พนักงานเจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่ร่วมดำเนินการและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคตามที่ได้กำหนดไว้ประกอบกับอัตราผู้ได้รับวัคซีนป้องกันโรคที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ป่วยอาการรุนแรงและผู้เสียชีวิตมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 


เหตุดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยส่งผลต่อภาพรวมของสถานการณ์การระบาดในประเทศไทยที่มีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดี รัฐบาลโดยข้อเสนอของฝ่ายสาธารณสุขจึงเห็นสมควรให้มีการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดจำแนกตามระดับพื้นที่สถานการณ์ รวมทั้งปรับเกณฑ์การพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นและรองรับแผนการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยว


ข้อกำหนดฉบับนี้จึงเป็นการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคและรวบรวมบรรดามาตรการควบคุมแบบบูรณาการต่างๆ ที่ได้ประกาศไว้แล้วในข้อกำหนดฉบับก่อนหน้าโดยจำแนกออกเป็นพื้นที่สถานการณ์ที่แตกต่างลดหลั่นกันตามความรุนแรงของการระบาดของโรค


อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงเน้นย้ำถึงเจตนารมณ์ที่จะผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้ให้ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้การดำเนินกิจการและกิจกรรมของบุคคลและสถานที่ต่างๆ อยู่ภายใต้เงื่อนไขการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรค เพื่อรักษาสมดุลด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนให้ใกล้เคียงกับภาวะปกติ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2535 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลายตามคำแนะนำของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) 


ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป




เดินทางเข้าไทย ต้องทำอย่างไร



ขณะที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2564  โดยสรุปได้ 3 ประเภท มีรายละเอียด ดังนี้ 


1.Test and Go ทางอากาศ ไม่กักตัว เดินทางได้ทุกพื้นที่ 

เดินทางมาจากประเทศที่กำหนดพำนักในประเทศที่กำหนด 21 วันก่อนเดินทาง ยกเว้นประเทศไทย 

พำนักเพื่อรอผลตรวจ RT-PCR ในโรงแรมสถานที่กับตัวทางเลือก (AQ) แนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานภาคสมัครใจสำหรับผู้ประกอบการ (SHA+) ที่มีโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการ 1 วัน

ต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนว่า ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่กำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนเดินทางยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีที่มากับผู้ปกครอง 

ต้องมีหลักฐานการจองที่พักการจ่ายค่าที่พักจำนวน 1 วัน รวมค่าตรวจ RT-PCR  และ ATK 

ต้องมีประกันภายในวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ  (ยกเว้นคนไทยที่มีสิทธิการรักษาพยาบาลอยู่แล้ว) 

รวมถึงผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง 

เมื่อเดินทางถึงประเทศไทยตรวจเชื้อโควิดครั้งที่ 1 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ด้วยการตรวจแบบ ATK ด้วยตัวเองเมื่อมีอาการหรือในวันที่ 6-7


2.ผู้เดินทางเข้าพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ทางอากาศ (Sandbox programme) 

เดินทางมาจากประเทศใดก็ได้ พำนักในพื้นที่ Sandbox เป็นเวลา 7 วัน ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่กำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนเดินทาง ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีที่มากับผู้ปกครอง 

มีหลักฐานการจ่ายค่าที่พัก SHA+ในพื้นที่ Sandbox จำนวน 7 วัน 

รวมถึงผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง 

เมื่อเดินทางถึงประเทศไทยตรวจเชื้อโควิดครั้งที่ 1 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ด้วยการตรวจแบบ ATK ด้วยตัวเองเมื่อมีอาการหรือในวันที่ 6-7


3. Quarantine Facilities (AQ,OQ,AHQ,SQ) ผู้เดินทางเข้าทุกช่องทาง กักตัว

เดินทางมาจากประเทศใดก็ได้ โดยต้องกักตัวในสถานที่กักกันที่ราชการกำหนด  ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ทุกช่องทาง 7 วัน ส่วนที่ไม่ได้รับวัคซีนเดินทางทางอากาศและทางน้ำกักตัว 10 วัน ส่วนทางบก 14 วัน  ต้องมีหลักฐานการจ่ายค่าที่พักสถานกักกันที่ราชการกำหนดจำนวน 7 วัน 10 วันและ 14 วัน 

รวมถึงผลการตรวจเชื้อ โควิด-19 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง โดยคนไทยไม่ต้องมีผลตรวจเชื้อ โควิด-19 ก่อนเดินทาง มีการตรวจ RT-PCR 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่เดินทางถึง (วันที่ 0-1) ครั้งที่ 2 วันที่ 6-7 หรือ 8-9 แล้วแต่กรณี


1 พ.ย. นี้ เริ่มเปิดประเทศ เช็กมาตรการอีกครั้ง มั่นใจปลอดภัยโควิด และไม่ผิดกฎหมาย


ราชกิจจาฯ ออกประกาศ "ห้ามชุมนุม - ทำกิจกรรม - มั่วสุม" ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ต้อนรับการเปิดประเทศ ฝ่าฝืนเจอทั้งจำ-ปรับ

 

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564   เว็บไซต์ราชกิจจานุบกษา เผยแพร่ ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ฉบับที่ 13)   โดยมีข้อห้าม และข้อปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ 


1. ให้ยกเลิกประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564 และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุมการทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ฉบับที่ 12 ลงวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564


2. ห้ามมิให้มีการมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค หรือการกระทำอันเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน หรือการกลั่นแกล้งเพื่อแพร่โรค ณ ที่ใด ๆ ทั่วราชอาณาจักร


3. ห้ามมิให้มีการชุมนุม หรือการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค ในพื้นที่ที่มีประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง พื้นที่เฝ้าระวัง เว้นแต่กรณีได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือกิจกรรมที่ได้รับการยกเว้น โดยให้ดำเนินการตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 30) ลงวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2564 และข้อกำหนด (ฉบับที่ 35) ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564


ทั้งนี้ ในเรื่องมาตรการควบคุมแบบบูรณาการสาหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง พื้นที่เฝ้าระวัง ให้ดำเนินการตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 35) ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564


4. ในพื้นที่ที่มีประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง พื้นที่เฝ้าระวัง ที่ได้มีประกาศหรือคำสั่งกำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว ห้ามมิให้มีการชุมนุม หรือการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เว้นแต่กรณีได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือกิจกรรมที่ได้รับการยกเว้น โดยให้ดำเนินการตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 30) ลงวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2564 และข้อกำหนด (ฉบับที่ 36) ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564


ทั้งนี้ ในเรื่องมาตรการควบคุมแบบบูรณาการสาหรับพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวให้ดำเนินการตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 36) ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564


หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้ ต้องรับโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 




พร้อมต้อนรับ 46 ประเทศ


สำหรับรายชื่อประเทศและพื้นที่ต้นทางที่ได้รับอนุญาต มีจำนวน 46 รายชื่อ ได้แก่ 


1.ออสเตรเลีย 

2.ออสเตรีย 

3.บาห์เรน 

4.เบลเยียม 

5.ภูฏาน 

6.บรูไนดารุสซาลาม 

7.บัลแกเรีย 

8.กัมพูชา 

9.แคนาดา 

10. ชิลี 

11.จีน 

12.ไซปรัส 

13.สาธารณรัฐเช็ก 

14.เดนมาร์ก 

15.เอสโตเนีย 

16.ฟินแลนด์ 

17.ฝรั่งเศส 

18.เยอรมนี 

19.กรีซ 

20.ฮังการี 

21.ไอซ์แลนด์ 

22.ไอร์แลนด์ 

23.อิสราเอล 

24.อิตาลี 

25.ญี่ปุ่น 

26.ลัตเวีย 

27.ลิทัวเนีย 

28.มาเลเซีย 

29.มอลตา 

30.เนเธอร์แลนด์ 

31.นิวซีแลนด์ 

32.นอร์เวย์ 

33.โปแลนด์ 

34.โปรตุเกส 

35.กาตาร์ 

36.ซาอุดีอาระเบีย 

37.สิงคโปร์ 

38.สโลวีเนีย 

39.เกาหลีใต้ 

40.สเปน 

41.สวีเดน 

42.สวิตเซอร์แลนด์ 

43.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 

44.สหราชอาณาจักร 

45.สหรัฐอเมริกา 

46.ฮ่องกง



โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศจากประเทศที่กำหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทำการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้น จึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทำได้



1 พ.ย. นี้ เริ่มเปิดประเทศ เช็กมาตรการอีกครั้ง มั่นใจปลอดภัยโควิด และไม่ผิดกฎหมาย  


1 พ.ย. นี้ เริ่มเปิดประเทศ เช็กมาตรการอีกครั้ง มั่นใจปลอดภัยโควิด และไม่ผิดกฎหมาย  





ลดเคอร์ฟิวเหลือ 7 จังหวัดแดงเข้ม


อัพเดทล่าสุด  สำหรับ บัญชีรายชื่อจังหวัดที่กำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการแนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19)


พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น 7 จังหวัด

1. จังหวัดจันทบุรี

2. จังหวัดตาก

3. จังหวัดนครศรีธรรมราช

4. จังหวัดนราธิวาส

5. จังหวัดปัตตานี

6. จังหวัดยะลา

7. จังหวัดสงขลา

พื้นที่ควบคุมสูงสุด รวมทั้งสิ้น 38 จังหวัด

1. จังหวัดกาญจนบุรี

2. จังหวัดขอนแก่น

3. จังหวัดฉะเชิงเทรา

4. จังหวัดชลบุรี (ยกเว้นอำภอบางละมุง เมืองพัทยา อำเภอศรีราชา อำเภอเกาะสีชัง และอำเภอสัตหีบเฉพาะตำบลนาจอมเทียน และตำบลบางเสร่)

5. จังหวัดชุมพร

6. จังหวัดเชียงราย

7. จังหวัดเชียงใหม่ (ยกเว้นอำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอดอยเต่า อำเภอแม่ริม และอำเภอแม่แตง)

8. จังหวัดตรัง

9. จังหวัดตราด (ยกเว้นอำเภอเกาะช้าง)

10. จังหวัดนครนายก

11. จังหวัดนครปฐม

12. จังหวัดนครราชสีมา

13. จังหวัดนครสวรรค์

14. จังหวัดนนทบุรี

15. จังหวัดปทุมธานี

16. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ยกเว้นตำบลหัวหิน และตำบลหนองแก)

17. จังหวัดปราจีนบุรี

18. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

19. จังหวัดพัทลุง

20. จังหวัดพิจิตร

21. จังหวัดพิษณุโลก

22. จังหวัดเพชรบุรี (ยกเว้นเทศบาลเมืองชะอำ)

23. จังหวัดเพชรบูรณ์

24. จังหวัดระนอง (ยกเว้นเกาะพยาม)

25. จังหวัดระยอง (ยกเว้นเกาะเสม็ด)

26. จังหวัดราชบุรี

27. จังหวัดลพบุรี

28. จังหวัดสตูล

29. จังหวัดสมุทรปราการ (ยกเว้นบริเวณพื้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ)

30. จังหวัดสมุทรสงคราม

31. จังหวัดสมุทรสาคร

32. จังหวัดสระแก้ว

33. จังหวัดสระบุรี

34. จังหวัดสุพรรณบุรี

35. จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ยกเว้นเกาะสมุย เกาะพงัน และเกาะเต่า)

36. จังหวัดอ่างทอง

37. จังหวัดอุดรธานี (ยกเว้นอำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอบ้านดุง อำเภอกุมภวาปี อำเภอนายูง อำเภอหนองหาน และอำเภอประจักษ์ศิลปาคม)

38. จังหวัดอุบลราชธานี

พื้นที่ควบคุม รวมทั้งสิ้น 23 จังหวัด

1. จังหวัดกาฬสินธุ์

2. จังหวัดกำแพงเพชร

3. จังหวัดชัยนาท

4. จังหวัดชัยภูมิ

5. จังหวัดบุรีรัมย์ (ยกเว้นอำเภอเมืองบุรีรัมย์)

6. จังหวัดแพร่

7. จังหวัดพะเยา

8. จังหวัดมหาสารคาม

9. จังหวัดแม่ฮ่องสอน

10. จังหวัดยโสธร

11. จังหวัดร้อยเอ็ด

12. จังหวัดลำปาง

13. จังหวัดลำพูน

14. จังหวัดเลย (ยกเว้นอำเภอเชียงคาน)

15. จังหวัดศรีสะเกษ

16. จังหวัดสิงห์บุรี

17. จังหวัดสุโขทัย

18. จังหวัดสุรินทร์

19. จังหวัดหนองคาย (ยกเว้นอำเภอเมืองหนองคาย อำเภอสังคม อำเภอศรีเชียงใหม่และอำเภอท่าบ่อ)

20. จังหวัดหนองบัวลำภู

21. จังหวัดอุทัยธานี

22. จังหวัดอุตรดิตถ์

23. จังหวัดอำนาจเจริญ

พื้นที่เฝ้าระวังสูง รวมทั้งสิ้น 5 จังหวัด

1. จังหวัดนครพนม

2. จังหวัดน่าน

3. จังหวัดบึงกาฬ

4. จังหวัดมุกดาหาร

5. จังหวัดสกลนคร


คลิกอ่านราชกิจจานุเบกษา พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวังสูง







สำหรับ กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว และมีการกำหนดมาตรการควบคุมแบบบูรณาการในพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม คณะกรรมการฯ จึงเห็นชอบให้มีมาตรการผ่อนคลายสถานที่ให้สามารถเปิดดำเนินการหรือทำกิจกรรมบางอย่างได้ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด และมาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) โดยเคร่งครัด รวมทั้งต้องมีมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (Covid Free Setting)


สถานที่/กิจการ เปิดดำเนินการได้

- สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์เด็กพิเศษ ให้สำนักอนามัย กทม. พิจารณาเปิดตามความเหมาะสม

- ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ได้รับวัคซีนครบ และมีการสุ่มตรวจเจ้าหน้าที่ทุกสัปดาห์) 

- ร้านอาหาร/เครื่องดื่มทั่วไป เปิดให้บริการตามเวลาปกติ แต่อนุญาตให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เฉพาะร้านที่ผ่านมาตรฐาน SHA ของ ททท. และไม่เกินเวลา  21.00 น.

- ร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด ตลาดนัด เปิดให้บริการได้ตามเวลาปกติ

- ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ทุกประเภท เปิดได้ โดยผู้ใช้บริการงดบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม และงดการจัดกิจกรรม

- โรงภาพยนตร์ เปิดได้โดยจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการไม่เกินร้อยละ 75 ของจำนวนที่นั่ง 

- สถานเสริมความงาม ร้านเสริมสวย ทำเล็บ ร้านสัก เปิดให้บริการผ่านการนัดหมาย (ร้านสัก เฉพาะผู้รับบริการต้องได้รับวัคซีนครบ หรือมีผลตรวจ RT-PCR หรือผล ATK ในระยะเวลา 72 ชม.)

- สปา นวดแผนไทย ให้บริการเฉพาะนัดหมาย (เฉพาะการให้บริการประเภทใช้น้ำ ผู้รับบริการต้องได้รับวัคซีนครบ หรือมีผลตรวจ RT-PCR หรือผล ATK ในระยะเวลา 72 ชม.)

- สวนสาธารณะ ลานกีฬา สนามกีฬา สระน้ำ กิจกรรมทางน้ำ เปิดได้ 

- ยิม/ฟิตเนส ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด (หากมีการอบตัวหรืออบไอน้ำ ผู้รับบริการต้องได้รับวัคซีนครบ หรือมีผลตรวจ RT-PCR หรือผล ATK ในระยะเวลา 72 ชม.) 

- การใช้สนามกีฬาเพื่อการแข่งขัน ผู้เข้าชมต้องได้รับวัคซีนครบ หรือมีผลตรวจ RT-PCR หรือผล ATK ในระยะเวลา 72 ชม.

- โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม เปิดได้โดยห้ามบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จัดให้มีช่วงเวลาพักระบายอากาศ เตรียมอาหารแบบแยกเป็นชุด 

- ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้ตามปกติ แต่งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความแออัด

- โรงมหรสพ โรงละคร ต้องแจ้งขอเปิดดำเนินการต่อสำนักอนามัย กทม.

- โรงเรียนสอนมวย ศิลปะการต่อสู้ (ยิม) สถาบันลีลาศ ต้องแจ้งขอเปิดดำเนินการต่อสำนักอนามัย กทม.

- สถานที่ให้บริการควบคุมน้ำหนัก ศูนย์พระเครื่อง สนามพระเครื่อง สวนสัตว์ สถานที่จัดแสดงสัตว์ เปิดได้

- สถานที่ให้บริการห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยง เปิดได้โดยห้ามบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จัดให้มีช่วงเวลาพักระบายอากาศ เตรียมอาหารแบบแยกเป็นชุด

- สนามเด็กเล่น เครื่องเล่น ให้สำนักงานเขตพื้นที่พิจารณาอนุญาตตามความเหมาะสม


สถานที่/กิจการ เปิดดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไข

สำหรับสถานที่/กิจการที่สามารถเปิดได้ภายใต้มาตรการที่ทางราชการกำหนดและมาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) โดยเคร่งครัด รวมทั้งต้องมีมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (Covid Free Setting) มีดังนี้

- สถานประกอบกิจการอาบน้ำ อบไอน้ำ อบสมุนไพร (ผู้รับบริการต้องได้รับวัคซีนครบ หรือมีผลตรวจ RT-PCR หรือผล ATK ในระยะเวลา 72 ชม.) 

- สวนน้ำ สวนสนุก 


สถานที่/กิจการ ยังคงปิดดำเนินการ

สำหรับสถานที่ซึ่งยังคงให้ปิดดำเนินการ ได้แก่ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด ร้านเกม ร้านอินเทอร์เน็ต ตู้เกม สนามชนไก่ สนามซ้อมชนไก่ สนามชนโค สนามกัดปลา และสนามม้า 

รวมทั้งห้ามการจัดกิจกรรมรวมกลุ่มบุคคลเกิน 1,000 คน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสำนักอนามัย กทม.


ดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ถึง 3 ทุ่ม เฉพาะร้านที่ผ่านประเมินความพร้อม SHA

คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกันพิจารณาและมีความห่วงใยในการเปิดให้บริการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชน จึงขอให้ผู้ประกอบการร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มดำเนินการปรับปรุงสถานประกอบการให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเข้ารับการตรวจประเมินความพร้อมมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA ทางเว็บไซต์ thailandsha.com รวมทั้งเคร่งครัดช่วงเวลาการให้บริการให้อยู่ภายในเวลา 21.00 น. ตามที่กำหนด


ยกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่กรุงเทพฯ

คำสั่ง ศบค.ปรับระดับสถานการณ์ย่อยแต่ละพื้นที่เพื่อรองรับการเปิดประเทศ โดยลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) เหลือ 7 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เนื่องจากยังมีการติดเชื้อสูง โดยยังห้ามออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิวเวลา 23.00-03.00 น. ส่วนจังหวัดที่เหลือยกเลิกเคอร์ฟิว

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง