ผลวิจัย พบฉีดวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้าผสมไฟเซอร์ กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี

วันนี้ (29 มิ.ย.64) ผลการวิจัยล่าสุดภายใต้ชื่อโครงการ Com-COV ทำการทดลองเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีนเปรียบเทียบกันทั้งแบบใช้ของไฟเซอร์ 2 โดส ของแอสตร้าเซนเนก้า 2 โดส หรือนำมาฉีดผสมกันยี่ห้อละโดส จัดตารางการฉีดวัคซีนสองสูตรดังกล่าวร่วมกัน โดยทิ้งช่วงระยะเวลาต่าง ๆ กันออกไป เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการผสมวัคซีน

สรุปว่า ไม่ว่าจะเว้นช่วงห่างเพียงใด การใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าร่วมกับวัคซีนของไฟเซอร์ ล้วนช่วยทำให้เกิดสารแอนตี้บอดี้ในปริมาณที่สูงมากเพื่อต่อต้านการเพิ่มขึ้นของโปรตีนโคโรนาไวรัสได้อย่างดี

ข้อมูลการวิจัยนี้เป็นการสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลบางประเทศในยุโรปที่เริ่มนำเสนอวัคซีนตัวอื่นสำหรับเข็มที่ 2 ซึ่งไม่ใช่ของแอสตร้าเซนเนก้า หลังมีรายงานเกี่ยวกับปัญหาลิ่มเลือดแข็งตัวของผู้รับวัคซีนตัวดังกล่าว

ในส่วนของการศึกษาวิจัยครั้งนี้ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการ 830 คน และได้รับการฉีดวัคซีนห่างกัน 4 สัปดาห์ระหว่างสองเข็ม มีการค้นพบว่า การฉีดเข็มแรกด้วยวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าและเข็มที่สองเป็นของไฟเซอร์นั้น จะช่วยเพิ่มปริมาณแอนตี้บอดี้ได้สูงกว่า การที่เข็มแรกเป็นของไฟเซอร์ แล้วตามด้วยของแอสตร้าเซนเนก้า

รายงานข่าวระบุว่า เนื่องจากปริมาณวัคซีนที่ไม่ได้มีเกินความต้องการในเวลานี้ เจ้าหน้าที่ของอังกฤษแนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปรอเข็มที่สองเป็นเวลา 8 สัปดาห์ และให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่านั้นรอเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์

ปัจจุบัน กว่า 80% ของชาวอังกฤษที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้วอย่างน้อย 1 เข็ม และราว 60% ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

แมทธิว สเนป ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ผู้อยู่เบื้องหลังการวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า แม้ผลการศึกษาล่าสุดจะช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการวางแผนแจกจ่ายวัคซีน แต่ไม่สามารถใช้เป็นคำแนะนำเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงแผนการฉีดวัคซีนสูตรต่าง ๆ ที่ผ่านกระบวนการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกมาแล้ว

สเนป ระบุว่า การจัดการฉีดจากสูตรเดียวทั้งสองเข็มนั้นควรเป็นหลักปฏิบัติที่คงไว้เช่นเดิม ยกเว้นแต่กรณีที่มีเหตุผลจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

เช่นเดียวกัน ศาสตราจารย์โจนาธาน แวน-แทม รองประธานเจ้าหน้าที่แพทย์ของอังกฤษ กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนตารางการฉีดวัควีนยี่ห้อเดียวกันทั้ง 2 โดสที่ขณะนี้ประสบความสำเร็จอยู่แล้วในอังกฤษ การจัดหาวัคซีนก็เพียงพอและการฉีดวัคซีนก็ช่วยรักษาชีวิต