TNN online เช็กด่วนคำสั่งจังหวัด "ไม่ใส่หน้ากากอนามัย" มีโทษปรับ 2 หมื่นบาท

TNN ONLINE

เกาะติด COVID-19

เช็กด่วนคำสั่งจังหวัด "ไม่ใส่หน้ากากอนามัย" มีโทษปรับ 2 หมื่นบาท

เช็กด่วนคำสั่งจังหวัด ไม่ใส่หน้ากากอนามัย มีโทษปรับ 2 หมื่นบาท

เช็กรายชื่อจังหวัด ออกคำสั่งป้องกันการแพร่ระบาดโควิด หากประชาชนออกนอกเคหสถานต้องใส่หน้ากากอนามัย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับ 20,000 บาท

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หลายจังหวัดใช้ยาแรง ออกคำสั่งให้ประชาชนในพื้นที่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง ตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถานหรือสถานที่พำนักของตน หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ โดยจังหวัดที่มีการออกประหรือมีคำสั่งดังกล่าว อัปเดตล่าสุด วันที่ 22 เม.ย.64 ได้แก่


1. จังหวัดนนทบุรี

 จังหวัดนนทบุรี มีประกาศจังหวัด เรื่อง ขอความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการพึงปฏิบัติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 โดยขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในจังหวัดนนทบุรีสวมใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า "ใส่แมสก์" ทุกครั้งที่ออกจากที่พัก หรืออยู่ในพื้นที่สาธารณะ และให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด


2. จังหวัดสุราษฎร์ธานี

นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลงนามในคำสั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ 2323/2564 ลงวันที่ 19 เม.ย.2564 ระบุว่า ตามที่ได้มีคำสั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี กำหนดมาตรการให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดโดยเคร่งครัดโดยการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง 100%

ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ เป็นความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งการดำเนินการตามคำสั่งนี้เป็นกรณีที่มีสถานการณ์อันกระทบหรืออาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อย และเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง


3.จังหวัดกาญจนบุรี

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ในฐานะผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดกาญจนบุรี โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 9/2564 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 จึงให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง เมื่ออยู่ในบริเวณตลาด ตลาดนัด และตลาดน้ำทุกแห่ง

ทั้งนี้ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้โดยไม่มีเหตุอันสมควรจะมีความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง สั่ง ณ วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2564


4. จังหวัดยะลา

นายชัยสิทธิ์ พานิชพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้มีการออกคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดยะลา ฉบับที่ 98/2563 เรื่องมาตรการในการเฝ้าระวังป้องกันการระบาดใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กำหนดให้ภาคส่วนต่าง ๆ หากผู้ใดไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าเมื่อออกนอกเคหสถานมีความผิดตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท


5. จังหวัดสตูล

คำสั่งจังหวัดสตูล ที่ 710/2564 เรื่อง ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสตูลส่วนหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งเมื่อออกนอกเคหะสถานหรือบริเวณสถานที่พำนักของตน

ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ถือเป็นความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาทและอาจมีความผิดตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง


6. จังหวัดสงขลา

คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสงขลา ยังมีคำสั่ง 13/2564 ลงวันที่ 7 เมษายน 2564 ให้ประชาชนสวมหน้ากากผ้า หรือ หน้ากากอนามัย ทุกครั้ง เมื่อออกจากเคหสถาน ผู้ใดฝ่าฝืน ระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท และต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


7. จังหวัดตรัง

นายขจรศักดิ์  เจริญโสภา  ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง  ออกคำสั่งตามมติที่ประชุมครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2564 ขอให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดตรัง สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าให้ถูกวิธีทุกครั้ง เมื่อออกนอกเคหสถานหรือบริเวณสถานที่พำนักของตน

ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ถือเป็นความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชนหรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ จึงไม่อาจให้คู่กรณีใช้สิทธิ์โต้แย้งตามมาตรา 30 วรรคสอง (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง


8. จังหวัดนราธิวาส

นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนราธิวาส มีมติให้ออกคำสั่ง เรื่องให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งเมื่อออกจากเคหะสถาน ฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 51 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.64 เป็นต้นไป


9. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมติแนะนําของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในการประชุม ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 จึงออกคําสั่งไว้ดังต่อไปนี้

ให้ประชาชนทุกคนภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ทุกครั้ง ก่อนออกจากเคหสถาน และขณะอยู่นอกเคหสถาน หรือต้องติดต่อกับบุคคลอื่น หรือเดินทาง ไปในสถานที่สาธารณะ หรือสถานที่ใด ๆ ซึ่งมีบุคคลอื่นอยู่เป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ สําหรับผู้ที่อยู่ในเคหสถาน ร้านค้า หรือสถานที่ใด ๆ ที่ต้องติดต่อกับบุคคลอื่น ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าด้วยทุกครั้ง

ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งฉบับนี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2554

อนึ่ง เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจําเป็นรีบด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดผลเสียหาย อย่างร้ายแรงแก่สาธารณชนหรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ จึงไม่อาจให้คู่กรณีใช้สิทธิได้แย้ง ตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง (2) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2554

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป


10. จังหวัดปัตตานี 

นายวาชิต สุดพุ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี มีคำสั่งที่พิเศษ 5/2564 ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี "สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง เมื่อออกจากเคหสถาน"

ทั้งนี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั้งนี้ มีความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระหว่างโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2564 เป็นต้นไป


11. จังหวัดสุพรรณบุรี

คำสั่งจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ 1432/2564 เรื่อง มาตรการเร่งด่วนในการเฝ้าระวังการป้องกัน และการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ลงวันที่ 10 เมษายน 2564 นั้น

ข้อ 3.1 ระบุว่า ให้บุคคลโดยทั่วไปสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่นอกเคหสถานและเข้าไปในสถานที่สาธารณะ เช่น ที่ชุมชน ร้านค้า เว้นแต่ ขณะออกกำลังกาย รับประทานอาหาร หรือมีเหตุอันจำเป็นอื่น

ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ มีโทษตามมาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง


12. จังหวัดปราจีนบุรี

คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดปราจีนบุรี ออกคำสั่งให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกนอกเคหะสถาน หรืออยู่ในที่สาธารณะ เนื่องจากปัจจุบัน พบว่าจังหวัดปราจีนบุรี มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และมีประชาชนที่ยังไม่สวมหน้ากากเมื่อออกนอกเคหสถาน และเข้าไปในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ

ดังนั้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ให้ นายวรพันธุ์ สุวัณณุสส์ ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดปราจีนบุรี มีคำสั่งให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง ตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถานหรือสถานที่พำนักของตน และเข้าไปในพื้นที่สาธารณะ

หากฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามคำสั่งนี้ มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท ตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 และคู่กรณีจะไม่สามารถใช้สิทธิโต้แย้งตามาตรา 30 วรรค 2 (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539


13. จังหวัดหนองคาย

นายประเสริฐ ลือชาธนานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ได้มีการออกข้อกำหนดการปฏิบัติเพื่อควบคุมป้องกันและสกัดกั้นการติดและแพร่เชื้อโรค ด้วยการขอให้ประชาชนทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี เมื่อจำเป็นต้องออกจากเคหสถานหรือสถานที่ทำงาน เพื่อติดต่อธุระหรือกระทำการอื่นใด รวมทั้งเมื่อมีเหตุอันควรต้องสวมใส่ เช่น เมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ทำงาน การอยู่ในสถานที่สุ่มเสี่ยงจะแพร่หรือได้รับเชื้อโรค การอยู่รวมกันกับคนหมู่มาก เป็นต้น ซึ่งข้อกำหนดนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการปฏิบัติราชการทางปกครองคู่กรณีไม่อาจใช้สิทธิโต้แย้งประกาศนี้ได้

ดังนั้นหากมีผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม ไม่สวมหน้ากากอนามัยอาจมีความผิดตามมาตรา 51 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาทและอาจมีความผิดตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ข่าวแนะนำ