"ทรัมป์" ระบุสหรัฐฯติดโควิดอันดับ 1 โลกถือเป็น "เหรียญเกียรติยศ"

“โดนัลด์ ทรัมป์” ระบุสหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อโควิด19 สูงที่สุดในโลก เปรียบเสมือนได้รับ “เหรียญเกียรติยศ” เพราะแสดงว่าสหรัฐมีการตรวจสอบเชื้อที่ดีกว่าใคร

วันนี้( 20 พ.ค.63) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบขาวว่า ซึ่งนับเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกของสหรัฐ นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา โดยระบุว่า การที่สหรัฐเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด19 เป็นอันดับ 1 ของโลกนั้นเขากลับมองว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะนั่นแสดงว่า สหรัฐมีการตรวจสอบเชื้อโควิด-19 ที่ดีกว่าประเทศอื่นๆอย่างมากและถือเป็น “เหรียญแห่งเกียรติยศ”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุต่อไปว่า การที่สหรัฐมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกเป็นผลจากความพยายามที่จะตรวจเชื้อโควิด-19 ให้ได้มากที่สุด และเป็นการคารวะต่อบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก ที่ได้ทุ่มเทพยายามทำทุกอย่างเพื่อต่อต้านโควิด-19

ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ หรือ ซีดีซี ล่าสุดระบุว่า สหรัฐได้ทำการตรวจเชื้อโควิด-19 ไปแล้วทั้งหมด 12 ล้าน 6 แสนครั้ง

สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด19 ในสหรัฐล่าสุดในวันนี้ ทะลุ 1,500,000 คนแล้ว และยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 91,000 คน

อย่างไรก็ตามในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพิ่งเปิดเผยว่า กำลังกินยาไฮดร็อกซีคลอโรควีน ซึ่งเป็นยารักษาโรคมาลาเรีย เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งๆที่แพทย์เตือนถึงผลข้างเคียงที่อันตรายของยาดังกล่าว แต่ทว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับไม่ยอมยืนยันว่า จะใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ในวันที่เขาจะเป็นเยือนโรงงานของฟอร์ด มอเตอร์ในวันพฤหัสที่จะถึงนี้

ด้านเจ้าหน้าที่ของฟอร์ดกล่าวว่า จะยืนยันให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต้องใส่หน้ากากอนามัย ขณะเยือนโรงงานของฟอร์ดในรัฐมิชิแกน แต่ต่อมาฟอร์ดกลับลำเป็นให้แล้วแต่ทางทำเนียบขาวว่า จะให้ใส่หน้ากากหรือไม่

สำหรับโรงงานของฟอร์ดดังกล่าว ได้ถูกปรับมาเป็นโรงงานผลิตเครื่องช่วยหายใจสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงพยายามปกป้องการตัดสินใจกินยาไฮดร็อกซี่คลอโรควีน ทั้งๆที่แพทย์เตือนถึงอันตรายจากผลข้างเคียงที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ โดยเขาพยายามอ้างว่า มีแพทย์หลายคนที่กินยาตัวนี้อยู่เช่นเดียวกัน และตนกำลังพิจารณาจะสั่งห้ามการเดินทางไปยังบราซิล หลังจากบราซิลมีผู้ติดเชื้อโควิด19 พุ่งขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลกแทนที่อังกฤษไปแล้ว