เตือน! "สิงคโปร์" จะเจอกับปีมืดมนที่สุดตั้งแต่เป็นเอกราช

นักเศรษฐศาสตร์เตือน "สิงคโปร์" จะเผชิญกับปีที่มืดมนที่สุดนับตั้งแต่เป็นประเทศเอกราช เพราะสถานการณ์โควิด-19

วันนี้( 29 เม.ย.63) นักเศรษฐศาสตร์ของดีบีเอส (DBS) ธนาคารใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์เตือนว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์อาจมืดมนที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในปี 2508 โดยอาจหดตัวถึงร้อยละ 5.7 ในปีนี้ เพราะมีความเสี่ยงหลายด้านทั้งนักท่องเที่ยวเข้าประเทศลดลงมาก ยอดค้าปลีกตกและผลการปิดเมืองบางส่วน ทั้งหมดล้วนเป็นการตอกฝาโลงให้แก่ธุรกิจในประเทศ เช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์ของเมย์แบงก์กิมเอ็งคาดว่า อัตราว่างงานตลอดทั้งปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 5.5 การเลิกจ้างตลอดทั้งปีอาจแตะ 150,000-200,000 คน

โดยทั้งหมดจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2 เพราะผลของการปิดเมืองบางส่วนที่สิงคโปร์ใช้คำว่า การตัดวงจร เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายนด้วยการปิดสถานที่ทำงานเกือบทั้งหมดและโรงเรียน เดิมจะครบกำหนดในวันที่ 5 พฤษภาคม แต่รัฐบาลได้ขยายไปจนถึงวันที่ 1 มิถุนายนเพราะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 15,000 คนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติที่อาศัยรวมกันตามหอพักแออัด นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า หลังการคลายมาตรการปิดเมือง ผู้บริโภคอาจยังไม่จับจ่ายเพราะแนวโน้มเศรษฐกิจไม่แน่นอน

กระทรวงบุคลากรสิงคโปร์เผยอัตราว่างงานเดือนมีนาคมว่าอยู่ที่ร้อยละ 2.4 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.3 ในเดือนธันวาคม แต่ยังคงดีกว่าช่วงหลังจากโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ ซาร์ส ระบาดในปี 2546 และช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2552 ที่ว่างงานถึงร้อยละ 4.8 และ 3.3 ตามลำดับ การจ้างงานที่ไม่นับแม่บ้านต่างชาติหดตัวถึง 19,900 ตำแหน่งมากที่สุดนับจากซาร์สระบาด เพราะการจ้างงานชาวต่างชาติลดลงมาก

ขณะนี้สิงคโปร์ ซึ่งมีประชากรทั้งหมดราว 5.7 ล้านคน พบผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 แล้วเกือบ 15,000 คน วานนี้(28 เม.ย.) สิงคโปร์รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 528 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบสองสัปดาห์แต่เจ้าหน้าที่หลายคนกล่าวตรงกันว่า จำนวนคนไข้ที่แท้จริงอาจจะสูงกว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการ เนื่องจากการตรวจหาเชื้อที่ล่าช้าไม่ทันการณ์

นายเคเน็ธ มัก ผู้อำนวยการสำนักงานบริการทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ประเด็นความแตกต่างของตัวเลขอย่างเป็นทางการกับจำนวนผู้ป่วยจริงนั้นจะแก้ไขหมดไปได้ เมื่อแรงงานต่างชาติที่ถูกแยกไปกักตัวไว้ดูอาการก่อนหน้านี้ เข้ารับการตรวจหาเฃื้อไวรัสก่อนที่จะพ้นจากการกักตัวดูอาการหรือก่อนที่จะกลับไปทำงาน