สร้างสตาร์ตอัพจากการเรียนลัดธุรกิจดิจิตัลจีน (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
สร้างสตาร์ตอัพจากการเรียนลัดธุรกิจดิจิตัลจีน (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
เมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปร่วมจัดงานสัมมนา “Startup ในกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมจีน” ที่มุ่งหวังจะติดอาวุธให้สตาร์ตอัพระยะเริ่มต้นผ่านการเรียนลัดจากกรณีศึกษาของธุรกิจดิจิตัลจีน และการลับสมองกับไอเดียที่เฉียบแหลมเพื่อให้พร้อมก้าวไกลไปสู่ตลาดโลกอย่างมั่นคง...
ผมต้องขอชื่นชมสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) ที่เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินกิจกรรมพิเศษในครั้งนี้ แถมยังเป็นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภายในและภายนอกอย่างสร้างสรรค์
โดยหน่วยงานภายในของ KMITL ที่ประสานการทำงานได้แก่ สำนักกิจการต่างประเทศ (OIA) และสำนักบริหารการวิจัยและนวัตกรรม หรือที่รู้จักกันใน KRIS (Startup Cave) แถมยังไปดึงเอาหน่วยงานภายนอกอย่างหอการค้าไทยในจีน และสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีนมาร่วมจัดกิจกรรมดังกล่าว
การจัดกิจกรรมรวม 3 วันครอบคลุมหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการดูงานออนไลน์ การบรรยายพิเศษ และการอบรมเชิงปฏิบัติการ รวมทั้งการออกแบบและประกวดไอเดียธุรกิจสตาร์ตอัพ พร้อมทุนสนับสนุน 50,000 บาทสำหรับทีมที่ชนะอีกด้วย
นอกจากนี้ กิจกรรมยังลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 และสร้างความยืดหยุ่น โดยจัดสถานที่ไว้อย่างกว้างขวาง และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมบางกิจกรรมได้ทั้งแบบออนไซต์ (Onsite) และออนไลน์ (Online) ทำให้สามารถดึงดูดผู้สนใจที่เป็นนักศึกษาของ KMITL และผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างธุรกิจสตาร์ตอัพสู่โลกอนาคตรวมราว 100 คน
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมหลายคนเปรยว่า “โชคดีมากที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ การดูงานออนไลน์ก็ช่วยเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับสตาร์ตอัพจีนในยุคใหม่ได้เป็นอย่างมาก เฉพาะวันแรก พวกเราก็ได้เรียนรู้โมเดลธุรกิจใหม่ๆ ของ AliCloud คลาวด์ของอาลีบาบา Nio สตาร์ตอัพรถยนต์ไฟฟ้า Elema บริการสั่งอาหารผ่านแอพชื่อดัง และ Megvii ผู้นำการพัฒนาระบบการจดจำใบหน้า รวมทั้งยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาท่าเรือหยางซาน ตลาดสดอัจฉริยะ ศูนย์อาหาร AI และบริการค้าปลีกอัจฉริยะของจีน ...”
“แถมยังได้ฟังบรรยายแบบเจาะลึกการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดของจีนและคำแนะนำเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำเอาธุรกิจสตาร์ตอัพเข้าสู่จีน ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ชนิดประเมินค่าไม่ได้เลย เสียดายแทนหลายคนที่พลาดโอกาสนี้ครับ”
หลังการดูงานออนไลน์และการบรรยายพิเศษในวันแรก ก็มีคำถามมากมายจากผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งสะท้อนถึงความจริงจังของผู้เข้าร่วมกิจกรรมเรียกว่าตอบคำถามกันจนเกินเวลาแล้ว ก็ยังไม่หมด ผมเห็นว่าหลายคำถามที่ค้างอยู่มีความน่าสนใจ จึงขออนุญาตผู้จัดงานนำมาตอบผ่านคอลัมน์นี้เพื่อจะได้ถือโอกาสแลกเปลี่ยนและแบ่งปันข้อมูลกันในวงกว้างผมจะขอไล่ตอบแต่ละคำถามไปเลยครับ
การพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิตัลในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI ที่ก้าวหน้าในทุกภาคส่วนอย่างรวดเร็ว จะส่งผลกระทบต่อคนทำงานและประชาชนในจีนอย่างไรบ้าง
นี่เป็นหนึ่งในคำถามยอดนิยมที่ผมมักได้รับเวลาไปบรรยายเรื่องเหล่านี้ การเติบโตของการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ที่นำเอาหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ และอื่นๆ มาใช้กับภาคการผลิตและบริการ จะส่งผลกระทบกับการจ้างงานและการใช้ชีวิตของชาวจีนในหลายมิติอย่างไม่ต้องสงสัย
“แรงงานมนุษย์” ในหลายสาขาอาชีพคาดว่าจะสูญเสียงานเป็นจำนวนมากให้กับ “หุ่นยนต์” ที่มีประสิทธิภาพและมีความเป็นอัจฉริยะงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำที่ต้องทำซ้ำกันไปมา ไม่สัมผัสกับมนุษย์ และไม่ต้องการความนุ่มนวลและอ่อนไหวต่อความรู้สึก จะถูกทดแทนโดยหุ่นยนต์ที่มีซอฟท์แวร์พร้อมเอไอเกือบทั้งหมด
ไล่ตั้งแต่พนักงานต้อนรับ พนักงานทำความสะอาดและรับสายโทรศัพท์ แคชเชียร์ นักบัญชี คนงานในโรงงาน คนขับรถบรรทุก ผู้ช่วยที่ปรึกษากฎมาย นักรังสีวิทยาแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตำรวจ และทหาร และอาชีพอื่นๆ จะถูกทดแทนโดยหุ่นยนต์และเอไอยิ่งเทคโนโลยีดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น ก็ทำให้การทดแทนตำแหน่งงานมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอัตราเร่งในอนาคต
ในทางกลับกัน มนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษในเรื่องความสามารถในการปรับตัว เมื่อแรงงานได้รับการพัฒนาจนมีทักษะที่สูงมากพอ ก็จะทำให้แรงงานเหล่านั้นเปลี่ยนหน้าที่หลักจาก “ผู้ปฏิบัติงานทั่วไป” เป็น “ผู้ควบคุมเครื่อง” กล่าวคือ ทำงานเบาลง แต่มีระดับของคุณภาพงานที่สูงขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญของจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการคาดการณ์ของไคฟู่ หลี่ (Kai-Fu Lee) กูรูด้านเอไอ และซีอีโอของชิโนเวชั่นเวนเจอร์ส (Sinovation Ventures) กองทุนใหญ่ในธุรกิจไฮเทคของจีนเขียนไว้ในหนังสือ “AI Superpowers: China, Silicon Valley, and the New World Order” ว่า 50% ของตำแหน่งงานในจีนจะถูกทดแทนโดยเอไอภายใน 15 ปี ซึ่งสร้างกระแสความกังวลใจในวงกว้างในเวลาต่อมา
แต่รัฐบาลจีนเปลี่ยน “ความกังวลใจ” ดังกล่าวเป็น “ความตื่นตัว” โดยมองว่า หากไม่ทำอะไรเลย แรงงานจีนจะตกงานเป็นจำนวนมากในอนาคต แต่รัฐบาลจีนมองการพัฒนาประเทศไปข้างหน้าในเชิงบวก และแน่วแน่ที่จะเดินหน้านำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในวงกว้าง จึงร่วมมือกับภาคเอกชนในการดำเนินกิจกรรม Reskill/Upskill ในเชิงรุกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน บางบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกก็ประเมินว่า การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้จะส่งผลในเชิงลบให้การจ้างงานในจีนลดลงราว 26% ของตำแหน่งภายใน 20 ปีข้างหน้า แต่ในทางกลับกัน ก็จะเพิ่มตำแหน่งงานคุณภาพ ผลิตภาพการผลิต และรายได้ของแรงงานในจีน โดยคาดว่าการจ้างงานสุทธิจะเพิ่มขึ้นราว 12% หรือ 90 ล้านคนภายในปี 2037
ภาคบริการถูกประเมินว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด โดยการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเกือบ30% หรือราว 97 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริการด้านเฮลธ์แคร์ และการก่อสร้าง แม้กระทั่งในภาคอุตสาหกรรมการผลิตก็คาดว่าจะมีการจ้างงานสุทธิเป็นบวกในระดับที่สูงขึ้น
ในทางกลับกัน ภาคการเกษตรก็คาดว่าจะสูญเสียตำแหน่งงานสุทธิไป 10% เราเห็นผลกระทบในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในหลายประเทศในอดีต และในกรณีของจีน ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะตลอดเวลากว่า 40 ปีนับแต่เปิดประเทศสู่ภายนอก ภาคเกษตรกรรมของจีนก็สูญเสียแรงงานราว 250 ล้านคนให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและเคลื่อนต่อไปยังภาคบริการ
สิ่งนี้ทำให้ภาคการเกษตรของจีนจำเป็นต้องเร่งปรับสู่ “เกษตรอัจฉริยะ” โดยนำเอาเครื่องจักรเครื่องมือการเกษตรขนาดใหญ่ และระบบดิจิตัลเข้ามาช่วยทุ่นแรง ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และยกระดับผลผลิตทางการเกษตร
ในส่วนของประชาชน ก็คาดว่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่เพิ่มขึ้นจากการนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ สินค้าอาจมีราคาที่ต่ำลง คุณภาพดีขึ้น ขณะที่บริการในหลายส่วนจะรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
โดยที่เราอยู่ในโลกที่กำลังมุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในปัจจุบันและแม้กระทั่ง 5.0 ในอนาคต และภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเปิดที่มุ่งเน้นกลไกตลาดเสรี เราจึงต้องมองการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีเหล่านี้ในเชิงบวกและร่วมมือกันพัฒนาระบบนิเวศให้เกิดขึ้นในเชิงรุก
การสานต่อโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ “อีอีซี” ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ก็อาจเป็นความหวังใหม่ของไทยในอนาคตไม่อย่างนั้นแล้ว ตำแหน่งงาน ภาคการผลิตและบริการ รวมทั้งเศรษฐกิจของไทยโดยรวมก็จะล่มสลายต่อของต่างชาติอย่างหนีไม่พ้น
ผมขอตอบคำถามอื่นๆ ในตอนหน้านะครับ ...
ภาพจาก AFP