จีนใช้โอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี CCPIT ขยายแนวร่วมทางเศรษฐกิจ โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
จีนใช้โอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี CCPIT ขยายแนวร่วมทางเศรษฐกิจ โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
เมื่อกล่าวถึง CCPIT ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่าตัวย่อนี้มาจากคำว่าอะไร และมีความสำคัญอย่างไร แต่พอจั่วหัวบอกว่าฉลองครบ 7 ทศวรรษ ซึ่งใกล้เคียงกับอายุของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยแล้ว ท่านผู้อ่านก็คงประเมินได้ว่า ถ้าเป็นองค์กรก็ถือว่าเก่าแก่มาก และหากอยู่รอดปลอดภัยจนถึงวันนี้ ก็ต้องมีบทบาทและผลงานอย่างมาก แถมขนาด สี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่กำลังจะต่อการดำรงตำแหน่งเทอม 3 ในปลายปีนี้ก็ยังเป็นประธานกล่าวเปิดงานให้ด้วยแล้ว องค์กรนี้ก็ย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่ ...
CCPIT ย่อมาจาก “China Council for the Promotion of International Trade” หรือ “สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน” ในภาษาไทย เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 1952 ณ กรุงปักกิ่ง ถือเป็นองค์กรแรกๆ หลังการก่อตั้งประเทศ ภายใต้กระทรวงพาณิชย์จีน
บางครั้ง เราอาจเห็นบทบาทของ CCPIT ในชื่อ “China Chamber of International Commerce” (CCOIC) หรือ “หอการค้าระหว่างประเทศแห่งชาติจีน” ในชื่อภาษาไทย ซึ่งจีนมักใช้คณะผู้บริหารและทีมงานเดียวกันในสององค์กรดังกล่าว
แต่ไม่ว่าจะอยู่ในชื่อใด ก็พอสรุปให้เห็นภาพได้ว่า องค์กรนี้ก็มีสภาพคล้ายหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมรวมกัน กล่าวคือ CCPIT มีหน้าที่หลักในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ และพัฒนาความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจกับต่างประเทศ
อันที่จริง CCPIT มีความเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจส่วนหน้าของจีนมาเป็นเวลายาวนาน โดยในช่วงที่ปิดประเทศหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนในยุคแรก รัฐบาลจีนใช้ CCPIT เป็นองค์กรตัวแทนในการค้าขายกับต่างประเทศ นั่นหมายความว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว จีนไม่ได้ปิดประเทศอย่างแท้จริง แต่เปิดช่องทางในการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการค้ากับต่างประเทศผ่าน CCPIT นั่นเอง
แม้ว่าชื่อและหน้าตาของ CCPIT จะดูเป็นองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร แต่เนื้อแท้แล้ว สมาชิกของ CCPIT ล้วนแล้วแต่เป็นกิจการของรัฐ ภายใต้แนวคิดของรัฐสังคมนิยม ดังนั้น CCPIT ในยุคแรกจึงทำหน้าที่เสริมสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรภาครัฐของต่างประเทศควบคู่ไปด้วย
ต่อมา เมื่อรัฐบาลจีนได้ดำเนินนโยบายเปิดให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น CCPIT ก็มีจำนวนสมาชิกที่เป็นกิจการเอกชนเพิ่มขึ้นโดยลำดับ แต่ CCPIT ก็ยังมีลักษณะเป็นองค์กรกึ่งรัฐกึ่งเอกชนที่รัฐบาลจีนยังเป็นองค์กรหลักที่อยู่เบื้องหลังอยู่มาก
ยกตัวอย่างเช่น การแต่งตั้งประธาน CCPIT ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลจีน และมีสถานะเทียบเท่าผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ (เท่ากับ “รัฐมนตรีช่วย” ของไทย) ผู้นำ CCPIT จึงมักเป็นผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ หรือหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา บ้างก็ยังขยับไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือตำแหน่งอื่นที่สูงกว่า อย่างประธาน CCPIT คนปัจจุบัน ได้แก่ จาง หย่งหมิง (Zhang Yongming) ก็ผ่านงานในตำแหน่งต่างๆ คล้ายคลึงกับที่ผ่านมา
กลับมาที่การประชุม “สุดยอดการส่งเสริมการค้าและการลงทุนโลก” (Global Trade and Investment Promotion Summit) ที่จัดขึ้นโดย CCPIT เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมาในโอกาสครบรอบ 70 ปีของ CCPIT
การประชุมครั้งนี้จัดในรูปแบบไฮบริด โดยผู้นำจีนได้กล่าวสุนทรพจน์ออนไลน์ท่ามกลางแขกเหรื่อสำคัญจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น ผู้นำประเทศอินโดนีเซีย และเอกวาดอร์ เลขาธิการองค์การการค้าโลก เลขาธิการอาเซียน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงองค์กรภาครัฐและเอกชน อาทิ ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน และนายกสมาคมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น เป็นต้น
พอถอดรหัสคำกล่าวของท่านผู้นำดังกล่าว ก็พบว่ามีสาระสำคัญที่น่าสนใจในหลายประเด็น นอกจากการแสดงความยินดีกับ CCPIT และขอบคุณในความห่วงใยและการสนับสนุนในความพยายามในการปฏิรูป เปิดกว้าง และสร้างความทันสมัยของจีนด้วยดีเสมอมาแล้ว ผู้นำจีนยังตระหนักถึงการขยายบทบาทและภารกิจของ CCPIT อย่างกว้างขวางในยุคหลัง
อาทิ การสำรวจนวัตกรรมในเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การไกล่เกลี่ยกรณีพิพาททางการค้า และบริการด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อส่งเสริมการเปิดกว้างประเทศ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เพื่อให้ธุรกิจในแต่ละประเทศได้แบ่งปันโอกาสการพัฒนาและได้รับประโยชน์จากความร่วมมือระหว่างกัน
อย่างไรก็ดี ผู้นำจีนยังคาดหวังที่อยากจะเห็น CCPIT มีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายบริการสำหรับธุรกิจ และสนับสนุนนโยบายการพัฒนาคุณภาพสูงและกระบวนทัศน์การพัฒนาใหม่ที่เปิดสู่เศรษฐกิจโลกของจีน
ผู้นำจีนยังใช้โอกาสนี้สะท้อนถึงความกังวลใจที่มีต่อความท้าทายของโลกที่กำลังเกิดขึ้น อันนำไปสู่ความเปราะบางและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหม่ของโลก
ผมสังเกตว่า ในช่วงหลายปีหลัง ทุกครั้งที่ผู้นำจีนกล่าวสุนทรพจน์ในงานใหญ่ครั้งใดก็ไม่พลาดที่จะแตะประเด็นระดับโลกเสมอ และแม้ว่าไม่ได้เกริ่นข้อมูลในรายละเอียด แต่ก็ประเมินได้ว่า ความท้าทายดังกล่าวมีขอบเขตกว้างขวางและเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแยกขั้วทางเศรษฐกิจ และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งกำลังนำไปสู่วิกฤติพลังงานและอาหารโลก รวมทั้งการระบาดของเชื้อโควิดที่ลากยาวกว่า 2 ปี และฝีดาษลิงที่ประทุและกำลังระบาดไปในหลายประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อการเดินทางระหว่างประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ประการสำคัญ สี จิ้นผิงยังได้เสนอแนะ 4 แนวทางสำคัญ อันได้แก่ ประการแรก การร่วมมือกันเพื่อเอาชนะโควิด-19 การระบาดของเชื้อโควิดยังคงดำเนินต่อไป และสายพันธุ์ใหม่ก็มีระดับการติดเชื้อที่ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชน และขยายวงต่อไปกระทบเศรษฐกิจโลก
ในประเด็นนี้ จีนอยากเห็นแต่ละประเทศให้ความสำคัญกับชีวิตมนุษย์เป็นอันดับแรก และหันหน้าร่วมมือกับในการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการกระจายวัคซีน รวมทั้งเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลด้านการสาธารณสุข และหาแนวทางป้องกันโควิด และทำงานด้านสุขภาพแก่ทุกคนในชุมชนโลก
ขณะเดียวกัน หลายประเทศก็อาจไม่เข้าใจว่าทำไมจีนต้องดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ แต่สำหรับประเทศที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และมีหลายร้อยหัวเมืองใหญ่ที่ผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น จำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างสูงและเข้มงวดอย่างยิ่งกับมาตรการควบคุมในเรื่องนี้
แม้ว่าได้ทุ่มเทศึกษาวิจัยเชื้อโควิดมาเป็นเวลานานแล้ว แต่รัฐบาลจีนก็เน้นย้ำอยู่เสมอว่า จีนยังรู้จักเชื้อโควิดน้อยมาก และไม่สามารถหาวิธีการกำจัดหรือรักษาผู้ติดเชื้อให้ปลอดภัยได้ 100%
ประการที่ 2 การสร้างความกระชุ่มกระชวยแก่การค้าและการลงทุน จีนเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ทุกประเทศต้องสร้างสมดุลระหว่างการระบาดกับการพัฒนาเศรษฐกิจ และเติมพลังการประสานนโยบายเศรษฐกิจมหภาคระหว่างประเทศ
คำกล่าวในส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า จีนแสดงจุดยืนของการเป็นหนึ่งในผู้นำโลก โดยนำเสนอ “ข้อริเริ่มการพัฒนาระดับโลก” (Global Development Initiative) ที่มองถึงความพยายามร่วมมือกันผลักดัน “วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ 2030” (UN's 2030 Agenda for Sustainable Development) ในทุกมิติ ซึ่งจะช่วยยกระดับกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และปรับเปลี่ยนโมเดลและโครงสร้างการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่ทิศทางที่ดีและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว
นอกจากนี้ จีนยังอยากให้นานาประเทศสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคที่มี WTO เป็นแกนกลาง เสริมสร้างความมั่นใจให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมและอุปทานมีความมั่นคงและเสถียรภาพ และทำให้ “ก้อนเค้ก” แห่งความร่วมมือมีขนาดใหญ่ขึ้นและกระจายสู่ผู้คนในระดับฐานรากของนานาประเทศ
ประการที่ 3 การปลดปล่อยพลังของนวัตกรรมในการขับเคลื่อนการพัฒนา จีนต้องการเห็นความร่วมมือกันเข้าถึงศักยภาพของนวัตกรรมในการกระตุ้นการเติบโต การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา การสร้างกฎเกณฑ์การมีส่วนร่วมและฉันทามติ และการสนับสนุนการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง เป็นธรรม เท่าเทียม และไม่เลือกปฏิบัติ
รวมไปจนถึงการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านนวัตกรรม การอำนวยความสะดวกแก่การประสานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขยายการแบ่งปันผลของนวัตกรรม และยกเลิกสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของความรู้ เทคโนโลยี พรสวรรค์ และปัจจัยด้านนวัตกรรมอื่น
ในประเด็นนี้ พอไตร่ตรองข้อเสนอแนะของผู้นำจีนแล้ว ผมก็อยากเอาตำราด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาระหว่างประเทศของชาติตะวันตกที่เคยอ่านมาในอดีต “เก็บลงกล่อง” เพราะตำราเหล่านั้นมักระบุว่า ระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยและระบอบทุนนิยมสอดคล้องกับการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมด้านนวัตกรรม และอื่นๆ
แต่กลายเป็นว่า จีนซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบสังคมนิยมในทางการเมือง และมีระดับของความเป็นทุนนิยมที่น้อยกว่าในด้านเศรษฐกิจ กลับแสดงจุดยืนที่หนักแน่นและทำได้ดีกว่าหลายประเทศที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย-ทุนนิยมในมิติการเปิดเสรีและนวัตกรรมได้อย่างชัดเจน นั่นสะท้อนว่า ความสำเร็จในการพัฒนาดังกล่าวไม่ได้อยู่บนหลักการเดิม หรือมีปัจจัยอื่นที่มีนัยสำคัญแฝงอยู่ด้วย
ประการที่ 4 การปรับปรุงธรรมาภิบาลโลก ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจเสรี อนาคตของทุกประเทศถูกเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การสร้างกลุ่มเฉพาะจะนำไปโลกไปสู่การแบ่งแยกและการเผชิญหน้า จีนจึงสนับสนุนความเป็นพหุภาคีที่แท้จริง เคารพในวิสัยทัศน์ของธรรมาภิบาลโลกที่อยู่บนพื้นฐานของการปรึกษาหารือในวงกว้าง สร้างประโยชน์ร่วมและแบ่งปันผลประโยชน์ และเคลื่อนย้ายทรัพยากรจากทุกหนแห่งของโลกเพื่อเผชิญกับความท้าทายและผลักดันการพัฒนาให้รุดหน้า
ในประเด็นนี้ แม้ว่าไม่ได้กล่าวชัดเจนถึงระเบียบสังคมโลกที่ผุกร่อน และความพยายามของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรในการผลักดันการแยกขั้ว แต่ผู้นำจีนก็เสนอแนะว่า นานาประเทศควรปฏิรูประบบธรรมาภิบาลโลกให้อยู่บนหลักการของความเป็นธรรมและความยุติธรรม และควรเลือก “การหารือ” มากกว่า “การเผชิญหน้า” แสวงหา “การลดหรือทลาย” กำแพง แทนที่จะเป็น “การก่อสร้าง” มุ่งสู่ “การบูรณาการ” แทนที่ “การแยกขั้ว” เลือกการสร้างการมีส่วนร่วม “ของทุกคน” มากกว่า “เฉพาะกลุ่ม”
นอกจากนี้ ผู้นำจีนยังไม่พลาดที่จะกล่าวสนับสนุน “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค” (Regional Comprehensive Economic Partnership Agreement: RCEP) และความร่วมมือตาม “ข้อริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (BRI) คุณภาพสูงเพื่อขยายโอกาสทางการตลาด การลงทุน และการพัฒนาแก่ชุมชนธุรกิจโลก ซึ่งสะท้อนว่า จีนต้องการ “ขยายแนวร่วม” เพื่อเอาประโยชน์จากเวทีความร่วมมือดังกล่าวอย่างจริงจังอยู่ต่อไป
CCPIT ยังคงเดินหน้าพัฒนาและก้าวย่างเข้าสู่ทศวรรษที่ 8 อย่างมั่งคงในฐานะหนึ่งในองค์กรหลักที่ทำหน้าที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีของจีนในเวทีระหว่างประเทศ สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังครับ ...
ภาพจาก รอยเตอร์