TNN online ดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในรอบ 20 ปี บอนด์ยีลด์พุ่งในรอบ 4 ปี กดดันทองคำ วิเคราะห์โดย ฮั่วเซ่งเฮง

TNN ONLINE

คอลัมนิสต์

ดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในรอบ 20 ปี บอนด์ยีลด์พุ่งในรอบ 4 ปี กดดันทองคำ วิเคราะห์โดย ฮั่วเซ่งเฮง

ดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในรอบ 20 ปี บอนด์ยีลด์พุ่งในรอบ 4 ปี กดดันทองคำ  วิเคราะห์โดย ฮั่วเซ่งเฮง

ดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในรอบ 20 ปี บอนด์ยีลด์พุ่งในรอบ 4 ปี กดดันทองคำ วิเคราะห์โดย ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง

Gold Bullish
Gold Bearish
ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมเดือนมิ.ย.
สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนที่รุนแรงมากขึ้นการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนการกระจายวัคซีนโควิด-19


 ดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในรอบ 20 ปี บอนด์ยีลด์พุ่งขึ้นในรอบ 4 ปี กดดันทองคำ

    สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลงแรงในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในรอบ 20 ปี รวมถึงการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นแตะสูงสุด 3.14% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี จากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% สู่ระดับ 0.75%-1.00%  และเฟดได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% ในอีก 2 ครั้งข้างหน้า อย่างไรก็ตามนักลงทุนมีความกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.5% อาจไม่เพียงพอต่อการสกัดกั้นเงินเฟ้อ และมีโอกาสเป็นไปได้ว่าเฟดอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยรุนแรงถึง 0.75% ในการประชุมต่อไป ทางด้านข้อมูล CME group พบว่านักลงทุนให้น้ำหนักถึง 82.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% มาสู่ระดับ 1.50%-1.75% ในการประชุมเดือนมิ.ย. ขณะที่นักลงทุนก็ให้น้ำหนักอีกเช่นกันว่าเฟดมีโอกาสที่ปรับขึ้นถึง 82.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% มาสู่ระดับ 2.00%-2.25% และหลังจากนั้นนักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทุกครั้งในการประชุม ได้แก่ ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมเดือนพ.ย. และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในปีนี้ที่ 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปีนี้มาสู่ระดับ 3.00%-3.25% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งนับว่าเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็ว และอาจจะส่งผลเป็นแรงกดดันตลาดทองคำได้


ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัว นักลงทุนจับตา “Sell in May and Go Away”

    การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ไม่เพียงอาจกดดันตลาดทองคำจากการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเท่านั้น ทางด้านตลาดหุ้นวอลล์สตรีทก็ทรุดตัวอย่างร้อนแรงเช่นกัน ทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อคำกล่าว “Sell in May and Go Away” ซึ่งเป็นการขายหุ้นในเดือนพ.ค. ก่อนเผ่นออกจากตลาด เป็นการแนะนำให้นักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรจากการพุ่งขึ้นในช่วงเดือนพ.ค.-เม.ย. ก่อนที่จะถอนตัวอยู่นอกตลาดในช่วงเดือนพ.ค.-ต.ค. ซึ่งยังคงจับตาว่าจะเป็นไปตามที่นักลงทุนมีความกังวลหรือไม่ ขณะที่ปัจจัยลบด้านตลาดหุ้นยังมีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแรงในรอบ 4 ปี ทั้งนี้พันบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันบัตรปรับตัวขึ้น ย่อมส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทลดการลงทุนลง และลดการจ่ายปันผลแก่นักลงทุน จึงอาจส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นเช่นกัน ขณะที่ประเด็นสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย ยังคงเป็นการสู้รบต่อเนื่องติดต่อกันซึ่งส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาวันที่ 9 พ.ค. นี้เนื่องในวัน Victory day ของรัสเซีย โดยกองทัพรัสเซียได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินขับไล่ ปืนใหญ่ และขีปนาวุธนำวิถี มาร่วมซ้อมการสวนสนาม ว่าจะมีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนต่อความเสี่ยงในเชิงลบมากกว่า และหากตลาดหุ้นสหรัฐเกิด “Sell in May and Go Away” ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวลงอย่างร้อนแรง ทั้งนี้อาจจะมีเม็ดเงินบางส่วนเข้าซื้อทองคำเพื่อรองรับความเสี่ยงดังกล่าว เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และยังสามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ดี


แนวโน้มราคาทองคำคาดปรับตัวลงอย่างกรอบจำกัด สัปดาห์นี้สหรัฐเปิดเผยเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน หรือเพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อเทียบรายปี จากเพิ่มขึ้น 8.5% เมื่อเทียบรายปี  ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายเดือน จากเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบรายเดือน หรือเพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเทียบรายปี จากเพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบรายปี


ราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 1,850 ดอลลาร์ และ 1,840 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,900 ดอลลาร์ และ 1,920 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 30,200 บาท และ 30,400 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 30,900 บาท และ 31,000 บาท


ข้อมูลจาก: ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง

ภาพประกอบ : AFP , ฮั่วเซ่งเฮง


ข่าวแนะนำ