จีนออกมาตรการพลิกฟื้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
จีนออกมาตรการพลิกฟื้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของจีนเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า จีนจะเผชิญกับความท้าทายใน 3 ด้าน อันได้แก่ อุปสงค์ที่หดตัว อุปทานที่ขาดวิ่น และความคาดหวังที่อ่อนแรง มาถึงวันนี้ ความท้าทายดังกล่าวดูท่าจะเผยโฉมและกลายเป็นจริงรวดเร็วกว่าที่คิดไว้มาก
หลังเทศกาลตรุษจีนไม่นาน หลายหัวเมืองของจีน ไล่ตั้งแต่เซินเจิ้น ฉางชุน ไปจนถึงเซี่ยงไฮ้ ต่างเผชิญกับการระบาดของเชื้อโควิดระลอกใหม่จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ที่ยาวนานจนคนในพื้นที่ต่างบ่นเอือมระอากันเป็นแถว
สถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2022 ที่แม้ว่าจะมีปัจจัยเชิงบวกอยู่บ้าง อาทิ การเติบโตในอัตรา 4.8% ที่ผงกหัวขึ้นหลังจากการชะลอตัวรายไตรมาสอย่างต่อเนื่องในช่วงปีก่อน จนลงมาอยู่ที่อัตรา 4% เมื่อไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน และทำให้จีดีพีทะลุ 27 ล้านล้านหยวนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีน
แต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 4.8% ดังกล่าวก็ยังต่ำกว่าเป้าหมายโดยรวมของทั้งปีที่จีนตั้งไว้ที่ 5.5% อยู่มาก ขณะที่ภาคการผลิตของจีนก็ชะลอตัวในช่วงไตรมาสแรก กิจการของจีนต่างทยอยปรับลดการจ้างงาน และตำแหน่งงานใหม่ก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำ
อัตราการว่างงานใน 31 เมืองหลักของจีนกระโดดจาก 5.4% ในเดือนกุมภาพันธ์เป็น 6% ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดนับแต่ปี 2018 ขณะเดียวกันอัตราการว่างงานในกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปีก็ทะยานขึ้นแตะ 16% สูงที่สุดนับแต่เดือนเมษายน 2020 และอาจพุ่งสูงขึ้นในอนาคต
กิจการไฮเทครายใหญ่ที่เผชิญกับการจัดระเบียบของภาครัฐ และปัญหาการชะลอตัวของการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้ยอดขายและผลกำไรเติบโตในอัตราที่ลดลง ตัวอย่างเช่น อาลีบาบา (Alibaba) และหลายบริษัทในเครือจิงตง หรือ JD.com ต่างปรับลดพนักงานลงเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ และอาการ “ขาลง” ของอุตสาหกรรมดังกล่าว
มรสุมทางเศรษฐกิจยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น วิกฤติยูเครนลากยาวยืดเยื้อ และส่งผลกระทบเชิงลบในวงกว้างมากขึ้น แถมยังซ่อนไว้ซึ่งปัญหาในด้านอื่นที่อาจตามมาในอนาคต ขณะที่โควิดก็เริ่มลามไปยังหัวเมืองอื่น อาทิ ปักกิ่ง หังโจว และกวางโจว ซึ่งล้วนแต่เป็นเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน
มาตรการ “อยู่แต่บ้าน” (Stay Home Measures) อย่างเข้มงวดภายใต้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีนคาดว่าจะกระทบชิ่งต่อไปในอีกหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต การส่งออก การท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชน
เมื่อแนวโน้มปัญหาและความท้าทายดังกล่าวส่อเค้าว่า เศรษฐกิจจีนในช่วงที่เหลืออยู่ของปีนี้จะเผชิญกับ “อาการที่หนักขึ้น” ก็ทำให้รัฐบาลจีนประเมินว่า มาตรการทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจจะทำให้บรรยากาศการต่อเทอม 3 ของสี จิ้นผิง ในช่วงปลายปีดูหมองไปได้
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจีนและแบ้งค์ชาติจีนได้พยายาม “ตีโจทย์” และเร่ง “ปล่อยของ” ผ่านการออกมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อหวังรักษา “เสถียรภาพ” โดยรวมเอาไว้ เราไปลองไล่เรียงไฮไลต์ของมาตรการดังกล่าวของจีนดูครับ
ในด้านการปรับลดภาษีและค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 รัฐบาลจีนได้คืนเงินภาษีและลดค่าธรรมเนียมในหลายส่วนเพื่อลดภาระทางธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ผู้เสียภาษีในปีนี้ประหยัดเงินได้ราว 2.5 ล้านล้านหยวน และเพิ่มสินเชื่อแก่กิจการขนาดเล็กและจิ๋วถึงเกือบ 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ครั้นพอเข้าเดือนเมษายนที่การระบาดของเชื้อโควิดระลอกใหม่ในหลายเมืองรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลจีนก็ประกาศยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับรายได้จากการจัดส่งด่วน และจัดสรรสินเชื่อวงเงิน 100,000 ล้านหยวนเพื่อสนับสนุนบริการโลจิสติกส์ การจัดเก็บสินค้า และธุรกิจอื่น โดยให้มีผลนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคมถึงสิ้นปีนี้
กลางเดือนเมษายน แบ้งค์ชาติจีนได้ออกมาตรการทางการเงินเป็นชุด ไล่ตั้งแต่การปรับลดสัดส่วนสำรองเงินสดธนาคารพาณิชย์อีกครั้งเมื่อกลางเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับการอัดเม็ดเงินราว 530,000 ล้านหยวนเพื่อเสริมสภาพคล่องระยะยาวในระบบเศรษฐกิจ และยังมีกระแสข่าวว่า แบ้งค์ชาติจีนจะปรับลดสัดส่วนฯ เพิ่มเติมอีกในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ เรายังเห็นปรากฏการณ์ทางการเงินมากมาย อาทิ การเทขายหุ้นและหุ้นกู้จีนของนักลงทุนต่างชาติในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การลดสัดส่วนการถือครองเงินเหรียญสหรัฐฯ ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของแบ้งค์ชาติจีน และการลดสัดส่วนสำรองเงินตราต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ และการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 1% โดยให้มีผลนับแต่กลางเดือนพฤษภาคม ศกนี้
รวมทั้งการเชิญประชุมด่วนระหว่างแบ้งค์ชาติและกระทรวงการคลังจีนกับธนาคารพาณิชย์ในจีนเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงหยุดยาววันแรงงานของจีน เพื่อประเมินความเสี่ยงและเตรียมการป้องกันทรัพย์สินหากสหรัฐฯ คว่ำบาตรจีน ก็สะท้อนว่า จีนมองว่าโลกมีระดับความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเห็นเงินหยวนอ่อนค่ามากสุดในรอบปี
เพื่อลดผลกระทบจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่ สี จิ้นผิง ยังได้กล่าวไว้ว่า “จีนจะทุ่มเทความพยายามและทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อการก่อสร้างอย่างเต็มที่ ... เม็ดเงินงบประมาณที่จัดสรรไว้เดิม ยังคงเทียบไม่ได้กับความจำเป็นของจีน” ทั้งนี้ โดยให้การดำเนินโครงการคำนึงถึงผลตอบแทนโดยรวมที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
กระแสข่าวยังระบุอีกว่า รัฐบาลจีนจะจัดสรรเงินงบประมาณสาธารณะทั่วไประดับชาติอีกกว่า 26.7 ล้านล้านหยวน และออกพันธบัตรวัตถุประสงค์พิเศษสำหรับรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มเติมจากเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการในพื้นที่ระลอกใหม่ นั่นหมายความว่า เราจะเห็นบทบาทการลงทุนของรัฐบาลเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจจีนในปีนี้
หลังจากนั้นไม่นาน คณะรัฐมนตรีจีนก็ “เด้งรับลูก” ในทันที โดยอนุมัติวงเงินและแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องในหลากหลายด้าน เห็นข่าวทีแรก ผมก็อดตื่นเต้นไปกับการตอบสนองที่รวดเร็วของรัฐบาลจีนไม่ได้ แต่พอยิ่งเจาะลึกในรายละเอียด ผมก็เริ่มสงสัยว่า จีนจะไม่ลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในด้านไหนอีกบ้าง
เริ่มจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่ระบุว่า จีนจะจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและบริการสนับสนุนด้านการขนส่งในพื้นที่วงกว้าง และเป็นประโยชน์แก่คลัสเตอร์อุตสาหกรรม และธุรกิจหลัก โดยจะพัฒนาในทุกรูปแบบการขนส่ง ทั้งโครงข่ายหลักและรอง ศูนย์กลางขนส่ง และระบบการรวมและกระจายตัวให้มีความทันสมัย เกิดประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จีนยังจะกระตุ้นให้ด่านเก็บเงินและพื้นที่บริการสำหรับโครงข่ายถนนเปิดให้บริการอย่างเต็มที่ และใช้ประโยชน์จากท่าเรือและสนามบินที่มีอยู่อย่างเหมาะสม รวมทั้งเพิ่มความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือกิจการขนส่ง เพื่อให้มั่นใจว่าการขนส่งวัสดุและสินค้าเกษตรจะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในยามฉุกเฉิน
เราจะเห็นการลงทุนก่อสร้างและพัฒนาสนามบินภูมิภาค (Regional Airports) ทั้งสนามบินทั่วไป และสนามบินขนส่งสินค้า นั่นหมายความว่า เมื่อเราเดินทางไปเยือนจีนในครั้งหน้าอาจได้มีโอกาสใช้บริการสนามบินใหม่เหล่านี้ก็เป็นได้
ในชุมชนเมือง จีนจะต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมไปอีกระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นโครงข่ายการคมนาคม สื่อสาร และพื้นที่การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพสูง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการขนส่งระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางราง และถนน เพื่อให้การอยู่อาศัยของคนเมืองมีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ขณะที่ในพื้นที่ชนบท จีนมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพถนน บนสุภาษิตจีนที่ว่า “ถนนถึงไหน ความเจริญถึงที่นั่น” รัฐบาลจีนจะสานต่อการดำเนินโครงการ “ถนนชนบท 4 ดี” (Four Good Rural Roads) ซึ่งหมายถึงถนนที่ก่อสร้างดี จัดการดี บำรุงรักษาดี และใช้งานได้ดี เพื่อเป็นพื้นฐานของการบรรลุเป้าหมาย “ความเจริญรุ่งเรืองถ้วนหน้า” (Common Prosperity) ที่เป็นจุดขายสำคัญของสี จิ้นผิง ในการต่อเทอม 3
คราวหน้าผมจะพาไปเจาะลึกโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมและทรัพยากรหลัก และมาตรการพลิกฟื้นเศรษฐกิจอื่นกันครับ
ภาพจาก รอยเตอร์