เก็บตกงานสัมมนาประจำปีของหอการค้าไทยในจีน (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
เก็บตกงานสัมมนาประจำปีของหอการค้าไทยในจีน (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
เมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาประจำปีของหอการค้าไทยในจีน ซึ่งขอบอกว่าทั้งสนุกและเต็มไปด้วยสาระที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการและผู้คนในแวดวงไทย-จีน ใครพลาดโอกาสเข้าร่วมงานไลฟ์สดในวันดังกล่าว ผมขอแนะนำให้ลองไปหาชมย้อนหลังจากโลกอินเตอร์เน็ต
แต่สำหรับท่านที่รักการอ่าน ผมขอนำเอาสรุปสาระสำคัญจากการสัมมนาดังกล่าวมาแบ่งปันกันในวันนี้ครับ ...
ก่อนอื่น ผมขอเรียนว่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา หอการค้าไทยในจีนได้จัดงานสัมมนาใหญ่ระหว่างปีใหม่สากลและตรุษจีนเป็นประจำทุกปี โดยในช่วงที่ไม่มีวิกฤติโควิด-19 หอฯ มีงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกและเครือข่ายภายหลังงานสัมมนาอีกด้วย
โดยกิจกรรมในงานสังสรรค์ที่ผู้เข้าร่วมงานชื่นชอบเป็นพิเศษก็คือ การได้รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน และการจับฉลากแจกของรางวัลพิเศษฉลองปีใหม่ แต่น่าเสียดายที่ในช่วง 2 ปีหลังนี้ หอการค้าไทยในจีนต้องงดกิจกรรมสังสรรค์ดังกล่าว และปรับมาจัดงานสัมมนาในลักษณะออนไลน์แทน
ในปี 2022 นี้ หอการค้าไทยในจีนกำหนดแนวคิดหลักโดยเน้นเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับโอกาสและความท้าทายใหม่ โดยมีหัวข้อการสัมมนาว่า “ฝ่าวิกฤติโควิด ต้อนรับปีเสือ” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง จนมีผู้เข้าร่วมงานสัมมนาเต็มเกือบทุกแพล็ตฟอร์มที่ผู้จัดงานเปิดให้บริการเลยทีเดียว
โดยหอการค้าไทยในจีนได้รับเกียรติจากผู้บริหารขององค์กรภาครัฐเข้าร่วมงานออนไลน์อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง อาทิ สอท. สกญ. สำนักงานตัวแทนด้านการค้า การลงทุน และการเกษตรของไทยในจีน สำนักงาน กพ. และสถาบันการศึกษาระดับปริญญาในไทย
นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูงขององค์กรเอกชนชั้นนำของไทยเข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าวเป็นจำนวนมาก อาทิ ท่านธนากร เสรีบุรี นายกสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน คุณประเสริฐศักดิ์ องค์วัฒนกุล ที่ปรึกษาอาวุโสอีซีไอกรุ๊ป คุณชเล วุทธานันท์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ “พาซาญ่า” คุณประพีร์ สรไกรกิติกุล แห่งแพรนด้าจิวเวลลี่ รวมทั้งผู้บริหารของแบรนด์ดังอย่างทองม้วน “แก้ว” และเครื่องปรุงรส “ง่วนสุ่น” ตลอดจนสื่อมวลชนไทยจากหลายสำนัก
งานสัมมนาเริ่มต้นด้วยการกล่าวเปิดงานของท่านสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกลุ่มธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะประธานหอการค้าไทยในจีน โดยฉายภาพว่า “วิกฤติโควิด-19 ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาไม่อาจหยุดยั้งการพัฒนาที่รุดหน้าของจีนได้ แต่ภายใต้การเติบโตดังกล่าวก็แฝงไว้ซึ่งความท้าทายที่ซ่อนอยู่ เราจึงต้องเตรียมความพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายใหม่อยู่เสมอ”
ภายหลังความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการขจัดปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นจากแผ่นดินจีนเมื่อปี 2020 จีนในวันนี้ได้ก้าวเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 2 ของการพัฒนาประเทศในยุคใหม่ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การดำเนินนโยบายการพัฒนาในเชิงรุกของรัฐบาลจีน ความสามารถด้านนวัตกรรมและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความทุ่มเทและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนชาวจีน และอื่นๆ ล้วนมีส่วนสำคัญให้จีนเดินหน้าสู่การเป็นสังคมแห่งความเจริญรุ่งเรืองถ้วนหน้า
ท่านสุภกิตฯ ให้ข้อคิดแนวโน้มเศรษฐกิจของจีนในอนาคตว่า “... คนชั้นกลางของจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านคนภายในปี 2035 ซึ่งนั่นหมายความว่า เศรษฐกิจจีนในยุคหลังโควิด-19 จะขยายตัวต่อไปอย่างมีคุณภาพ ตลาดจีนจะยังคงเติบใหญ่ยิ่งขึ้น และกระจายตัวออกไปในหลายสิบกลุ่มเมืองทั่วจีนในอนาคต”
แม้ว่าวิกฤติโควิด-19 จะลดการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันของคนไทยและจีน แต่เราก็ยังเห็นการขยายตัวของความร่วมมือทางเศรษฐกิจในมิติอื่น จีนยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ขณะที่การลงทุนของจีนในไทยก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ประธานสุภกิตฯ ยังเชื่อมั่นว่าในปี 2022 นี้ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยและจีนจะยังคงดำเนินไปในทิศทางที่ดี และหอการค้าไทยในจีนยินดีอย่างยิ่งที่จะได้เป็นกลไกหนึ่งในการช่วยเชื่อมโยงและผลักดันให้เกิดการพัฒนาดังกล่าวขึ้น
หลังจากนั้น ท่านอรรถยุทธ์ ศรีสมุทร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ปาฐกของการสัมมนานี้ก็เริ่มต้นด้วยการกล่าวขอบคุณและแสดงความชื่นชมหอการค้าไทยในจีนที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน และกระจายไปในหลายมณฑลทั่วจีน ทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
ท่านอรรถยุทธ์ฯ กล่าวภายใต้ฉากหลังที่มีธงชาติไทยและจีนว่า “ทุกครั้งที่ผมเดินทางไปต่างมณฑล และมีโอกาสได้หารือข้อราชการกับเลขาธิการพรรค ผู้ว่าการมณฑล และผู้บริหารระดับสูงอื่นในพื้นที่ ผมก็ได้รับคำชื่นชมบทบาทของหอการค้าไทยในจีน โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนจีนรู้จักธุรกิจไทยเยอะ รู้จักประเทศไทยเยอะ และเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศไทย”
“หอการค้าไทยในจีนจึงเป็นเสมือน “ทูตที่ดี” ในการช่วยสื่อความนิยมของสินค้าและบริการของไทยในจีน” ท่านอรรถยุทธ์เปรียบเปรยไว้อย่างลุ่มลึก
สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ทุกแห่งในจีนพร้อมช่วยสนับสนุนการดำเนินงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสานสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน โดยในปีที่ผ่านมา สอท. และ สกญ. ได้ทำกิจกรรมเป็นจำนวนมาก อาทิ การจัด Thai Week ที่อาคารซีพีเซ็นเตอร์ ณ กรุงปักกิ่งเมื่อปีที่ผ่านมา และวางแผนจะจัดเป็นประจำทุกปี และอาจเพิ่มเป็นปีละสองครั้งในอนาคต เพื่อหวังเพิ่มโอกาสและลู่ทางสำหรับสินค้าไทยสู่ตลาดจีน
นอกจากนี้ ท่านยังให้คำมั่นว่า สอท. และ สกญ. ในจีนพร้อมจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ อาทิ เว็บไซต์ และ BIC ในการเป็นแหล่งข้อมูล ช่วยเผยแพร่ และสนับสนุนการขยายตลาดสินค้าและบริการของไทยในจีน และหวังจะเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันเพื่อการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-จีน โดยยินดีจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนของไทยและจีนที่มองหาพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างกัน
“ทุกวันนี้ คนจีนล้วนชื่นชอบประเทศไทย รอเวลาที่จะได้กลับไปเยือนไทยอีกครั้ง อยากจะซื้อสินค้าไทย อยากทำธุรกิจกับคนไทย บริษัทรายใหญ่ 500 อันดับแรกของจีนก็แสดงความสนใจที่จะไปลงทุนและร่วมมือกับกิจการในไทย เพื่อไปทำธุรกิจเพราะว่าจีนมีความรู้สึกที่ดีกับประเทศไทย และกับคนไทย” ท่านทูตอรรถยุทธ์ฯ ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกในภาพใหญ่
โดยที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนจีนเพิ่มและกระจายตัวมากขึ้น ท่านทูตอรรถยุทธ์ฯ ยังเห็นว่า สินค้าและบริการของไทยยังมีโอกาสอยู่มากในตลาดจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ทางตอนใต้ ที่จีนใช้เป็น “สะพาน” เชื่อมกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน และพร้อมจะผลักดันกฎระเบียบที่จะเป็นประโยชน์ต่อการขยายการส่งออกของไทยสู่ตลาดจีน
ในตอนท้าย ท่านเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่งยังฝากข้อคิดกับผู้ประกอบการไทยว่า ปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีนได้เปลี่ยนแปลงไปมาก คนจีนต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ มีอัตลักษณ์ และสินค้าเพื่อสุขภาพ
ผู้ประกอบการไทยจึงต้องพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ท่านยกตัวอย่างผลไม้ส่งออกยอดนิยมอย่างทุเรียนว่าควรเป็นทุเรียนที่สุก และรสชาติดี รวมทั้งให้ความสำคัญกับมิติด้านคุณภาพ เช่น สุขอนามัย และ CSR ด้วย
อีกไฮไลต์หนึ่งของงานสัมมนานี้ก็ได้แก่ การปาฐกถาพิเศษของท่านหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ซึ่งนับเป็นงานสัมมนาแรกๆ ที่ท่านเอกอัครราชทูตของไทยและจีนร่วมกล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาพร้อมกัน
ท่านหาน จื้อเฉียง กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นระหว่างไทยและจีน ความร่วมมือในการบริหารจัดการการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งจากมุมมองของการรับมือ การแลกเปลี่ยน การวางแผนป้องกัน และรักษาระยะห่าง ทำให้มิตรภาพระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศก้าวขึ้นไปอีก
ท่านทูตหาน จื้อเฉียง ยังเปิดเผยถึงมิติเชิงบวกของความร่วมมือของทั้งสองประเทศอีกว่า “แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้การเดินทางระหว่างทั้งสองประเทศลดลง แต่มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันกลับเป็นไปในทิศทางที่เป็นบวก”
ในปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จีนเป็นคู่ค้าและตลาดของสินค้าเกษตรอันดับหนึ่งของไทยต่อเนื่องมา 8 ปี ขณะเดียวกัน จีนได้เดินหน้าขยายโครงการความร่วมมือกับไทยในหลายด้าน อาทิ การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ท่าเรือแหลมฉบัง แหล่งน้ำมัน การก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ความร่วมมือด้านเกษตรกรรมโรงไฟฟ้า โรงงานกำจัดขยะ ไปจนถึงโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ความร่วมมือในกิจการ 5G ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ อีคอมเมิร์ซ และอื่นๆ ล้วนรุดหน้า และได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี ขณะที่การดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมระยองไทย-จีนก็เต็มไปด้วยพลัง ท่านทูตหานฯ เปิดเผยรายละเอียด
ท่านเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยยังฉายภาพเหตุการณ์สำคัญในปีที่แล้วว่า ประเทศจีนได้ฉลองการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครบรอบ 100 ปี โดยได้ประกาศสร้างสังคมที่มีความเจริญรุ่งเรืองถ้วนหน้า และเดินหน้าสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัยอย่างรอบด้าน
“จีนดำเนินนโยบายการพัฒนาใหม่ สร้างรูปแบบการพัฒนาใหม่ จนบรรลุการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง ท่านสี จิ้นผิง ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสการประชุมครบรอบ 30 ปีของความสัมพันธ์ของคู่เจรจาระหว่างจีน-อาเซียน ซึ่งได้ประกาศการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างจีน-อาเซียนอย่างเป็นทางการ และเสนอให้สร้างสรรค์เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เวอร์ชั่น 3.0 โดยเร็วที่สุด ร่วมกันสร้างนิคมสาธิตการพัฒนาเศรษฐกิจและกาค้าด้วยนวัตกรรมและเขตสาธิตการพัฒนาอย่างมีคุณภาพสูงในความร่วมมือด้านกำลังการผลิตระหว่างประเทศ”
ท่านทูตจีนประจำประเทศไทยยังสะท้อนภาพในอนาคตว่า ภายใต้ “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค” หรือ “RCEP” ที่มีจำนวนประชากรและมูลค่าการค้ามากที่สุด ซึ่งมีผลบังคับใช้นับแต่ต้นปีนี้ จีนและไทยจะค้นพบกับโอกาสใหม่ในการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
“ผมเชื่อมั่นว่า ทั้งสองประเทศจะเพิ่มความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมระหว่างกันและกัน และด้วยความพยายามของประเทศจีนและไทย และวิสาหกิจทั้งสองประเทศ การค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทยจะพัฒนาต่อไป” ท่านหาน จื้อเฉียงกล่าวทิ้งท้ายอย่างสวยหรู
ทั้งนี้ ท่านเอกอัครราชทูตของไทยและจีน และประธานหอการค้าไทยในจีน ยังได้ใช้โอกาสนี้อวยพรปีใหม่แก่ผู้เข้าร่วมงานสัมมนา โดยขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง การงานลุล่วง กิจการรุ่งเรือง และร่วมกันต่อสู้เพื่อกิจการของตนเองและประเทศชาติต่อไป
งานสัมมนายังมีสาระดีๆ ชนิดพลาดไม่ได้อยู่อีกมาก ตอนต่อไปเราจะไปติดตามกันว่า สถาบันต่างๆ คาดการณ์เศรษฐกิจจีนและไทยกันไว้อย่างไร และมีความท้าทายสำคัญอะไรที่เราควรให้ความสำคัญ ประการสำคัญ ผู้ประกอบการไทยที่คร่ำหวอดในจีนมีมุมมองและความคิดเห็น ตลอดจนข้อแนะนำเพื่อการเตรียมตัวสำหรับปีเสืออย่างไร แต่ท่านผู้อ่านต้องติดตามในตอนต่อไปครับ ...