จับทิศเม็ดเงินลงทุนโลก ปรับพอร์ตตั้งรับผันผวนเลือกตั้งสหรัฐ
จิตตะ เวลธ์ แนะพอร์ตหลักเน้นลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ เน้นหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่มีความสามรรถในการแข่งขัน เพื่อการเติบโตในระยะยาวและยังสามารถทดทานต่อความผันผวนในระยะสั้นจากการเลือกตั้งสหรัฐได้
นายประภัศร์พงษ์ นันทกิจพัฒนา ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยว่า มองการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.นี้ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ ( Fund Flow ) ว่าจะไปทางไหน ซึ่งโพลคาดการณ์ว่า โดนัลด์ ทรัมป มีโอกาสชนะสูง โดยนักลงทุนจับตา 2 นโยบายสำคัญ
คือ นโยบายการลดภาษีนิติบุคคลลงจากร้อยละ 21 เหลือร้อยละ 15 ซึ่งจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐปรับสูงขึ้น และอีกนโยบาย คือ การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ซึ่งล่าสุดทรัมป์ประกาศว่าจะตั้งกำแพงภาษีขึ้นเป็น 1-2 เท่า (100 -200%) ซึ่งเป็นความเสี่ยงทีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะกลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง และจะทำให้เงินเฟ้อสหรัฐกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ยาก และมีความเสี่ยงของวงจรดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะหยุดชะงักลง ซึ่งความกังวลนี้ส่งผ่านมาที่อัตราผลตอบแทนจากการถือครองพันธบัตร (Bond Yield) สหรัฐปรับเพิ่มขึ้น ตามคะแนนความนิยมของทรัมป์ที่ค่อยๆ ปรับขึ้น
ทั้งนี้ จิตตะ เวลธ์ มองว่า ถ้าทรัมป์ชนะ จะมี Fund Flow บางส่วนที่ก่อนหน้านี้เคยไหลเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market : EM) มีแนวโน้มจะไหลกลับไปที่ตลาดสหรัฐ ส่วนหลังผลเลือกตั้งถ้าทรัมป์ชนะเงินลงทุนมีน้ำหนักมากขึ้นที่จะไหลกลับตลาดหุ้นสหรัฐ
แต่ถ้า คามาลา แฮร์ริส ชนะ จากนโยบายสำคัญที่แตกต่างจากทรัมป์ อาทิ นโยบายการจะปรับขึ้นภาษีนิติบุคคล รวมถึงแนวคิดต่อต้านการผูกขาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคขนาดใหญ่ของสหรัฐ และก่อนหน้านี้ที่ แฮร์ริส มาเป็นแคนดิเดต Bond Yield ก็ปรับตัวลง ส่งผลให้ Fund Flow มีการไหลเข้ามาใน Emerging Market โดยเฉพาะเอเชียใต้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ถ้า แฮร์ริส ชนะ ก็มีโอกาสที่ Fund Flow จะไหลกลับเข้ามาใน Emerging Market อีกครั้ง
อย่างไรภาพเช่นนี้ ตลาดยังนาจะผันผวนระยะสั้นจนกว่าจะรู้ผลการเลือกตั้ง ซึ่งกระทบต่อการลงทุนระยะสั้น แต่หากมองภาพการลงทุนในระยะยาวยังมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตต่อไปในระยะยาว ดังนั้น หากมีเหตุการณ์อะไรมาทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐตกลงมา มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะในกลุมเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการแข่งขัยที่สูง น่าจะยังทำผลตอบแทนที่ดีได้
ส่วนการจัดพอร์ตเพื่่อตั้งรับความผันผวนในการเลือกตั้งสหรัฐนั้น มองว่าการลงทุนต้องมองระยะยาว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งรับความผันผวนระยะสั้นได้ด้วย ซึ่งมองการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ให้พอร์ตของคุณสมดุล มีทั้งส่วนที่เน้นสร้างผลตอบแทนแบบค่อยๆ เป็นค่อยไป และส่วนที่หวังสร้างกำไรจากโอกาสใหม่ๆ ด้วยวิธีการที่เสี่ยงมากขึ้น ด้วยการแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 ส่วน คือส่วน Core Port (พอร์ตหลัก) และ Satellite Port (พอร์ตรอง) ให้ทำหน้าที่แตกต่างกัน แต่ทำงานร่วมกัน เพื่อให้การลงทุนโดยรวมของคุณเติบโตได้ดีที่สุด
โดย Core Port ร้อยละ70 ยังแนะนำให้ลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ ลงทุนแบบกระจาย และ Satellite Port อีกร้อยละ 30 มองว่าหุ้นเติบโตที่มีโอกาสโตสูงในระยะยาว อย่าง หุ้นเทคสหรัฐ เราก็มองว่าอาจลงทุนได้ถึงร้อยละ 15 และอีกราวร้อยละ 10 อาจแบงลงทุนหุ้นเทคจีน และอีกร้อยละ 5 อาจลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามได้ อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนมีรายได้สม่ำเสมอกลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average ) หรือการกระจายลงทุนในสินทรัพย์ หรือ กองทุนอย่างสม่ำเสมอในมูลค่าเงินลงทุนที่เท่ากันยังเป็นกลยุทธ์ที่ใช้อยู่เสมอ
ข่าวแนะนำ