TNN หุ้นไทยช่วงสั้นขึ้น ระยะยาวต้องเพิ่มเสน่ห์

TNN

รายการ TNN

หุ้นไทยช่วงสั้นขึ้น ระยะยาวต้องเพิ่มเสน่ห์

หุ้นไทยช่วงสั้นขึ้น ระยะยาวต้องเพิ่มเสน่ห์

FETCO ชี้ความเชื่อมั่นหนุนหุ้นไทยปรับขึ้น แต่มองในระยะยาวจำเป็นที่ต้องสร้าง ผลิตภัณฑ์ใหม่ และภาครัฐต้องขับเคลื่อนโครงการจริงเพื่อเข้ามาดึงเม็ดเงินลงทุนในระยาว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผย ผลสำรวจในเดือนสิงหาคมปีนี้ (สำรวจระหว่างวันที่ 20-31 ส.ค.) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index : ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 132.51 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ซึ่งนักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และสัญญาณบวกจากความชัดเจนของการเมืองในประเทศ 


ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ //การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ // และสภาวะเงินเฟ้อ โดยหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM)

 

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปได้ จากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดีขึ้น การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ในระยะกลาง-ยาว 3-5 ปี จะต้องมาคิดเรื่องการสร้างสินค้าใหม่ ๆ ที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดทุนไทย เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามา เช่น ดิจิทัล เทคโนโลยี สตาร์ทอัพ เป็นเรื่องที่ไทยทำไม่สำเร็จในช่วงที่ผานมา ซึ่งมียูนิคอร์นแค่ 3 ตัว ขณะที่เวียดนาม อินโดฯ แซงเราไปแล้ว ดังนั้น ไทยเราจำเป็นต้องหาทางว่าจะสร้าง "Star" ได้อย่างไร ให้เกิด Superstar ตัวใหม่  


ประธาน FETCO กล่าวว่า ขณะนี้ Sector ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย คือ ปิโตรเคมี โดยเฉพาะ บมจ.ปตท.(PTT) ตัวเดียวก็มีสัดส่วนถึงร้อยละ 20-30 ของตลาดฯ ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีเป็นกลุ่มที่นักลงทุนกังวลใจ เพราะเป็นอุตสาหกรรม Sunset จากปัญหาโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นมาก และกระบวนการของโลก ที่จะเข้มงวดกับเรื่องนี้จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ สร้างผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มปิโตรเคมี ขณะเดียวกัน กลุ่มแบงก์ที่มีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยราวร้อยละ 10 ก็มีอัพไซด์ไม่มากแล้ว เพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโยโลยี ฟินเทคฯ ทำให้เซอร์วิสการเงินดีขึ้น แต่ทำให้กลุ่มแบงก์ถูกท้าทายจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ คำถาม คือ กำไรตลาด 1 ล้านล้านบาท ครึ่งหนึ่งมาจาก 10 กว่าบริษัท ถ้าทั้งสองกลุ่มอยู่ในช่วงขาลง หรืออัพไซด์ไม่มาก ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนกับเราได้อย่างไร 


นอกจากนั้น ภาครัฐจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนให้มากขึ้น หลังจากการเมืองมีเสถียรภาพ ทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาระดับหนึ่งแล้ว โดยจะต้องขับเคลื่อนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริง เริ่มจากโครงการที่มีอยู่เดิม และโครงการขนาดเล็กให้เดินต่อไปได้ พร้อม ๆ ไปกับการเตรียมขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ที่จะต้องใช้เวลานาน 3-4 ปี

ซึ่งเราต้องทำให้ดูว่าเราทำได้ ความเชื่อมั่นจะกลับมาจากการกระตุ้นระยะสั้นก่อน เพื่อซื้อเวลาทำโครงการใหญ่ ๆ ที่ต้องใช้เวลาระยะเวลามากกว่า 2 ปี  


ทั้งนี้ มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมน่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 2-2.5 ดังนั้น ถ้า กนง.อยากลดก็คงลดได้ระดับหนึ่ง แต่ความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินเริ่มหมดไป เพราะส่งออกกำลังจะดี ท่องเที่ยวกำลังจะมา ลงทุนภาครัฐจะเริ่มทยอยออกมา การลงทุนจากต่างประเทศก็น่าจะเข้ามา ทำให้โอกาสลดดอกเบี้ยมีไม่มาก และไม่เห็นความจำเป็นต้องลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2 เพราะเศรษฐกิจกำลังเดินไปข้างหน้า



 


ข่าวแนะนำ