ย้อนคำตัดสิน “พลิกการเมือง” ศาลรัฐธรรมนูญไทย นับแต่ปี 2562

ย้อนคำตัดสิน “พลิกการเมือง” ศาลรัฐธรรมนูญไทย นับแต่ปี 2562

นี่เป็นอีกครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญไทย สะเทือนการเมืองไทย ด้วยการรับคำร้องกรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ปมคลิปเสียงกับสมเด็จฮุน เซน และมีมติ 7 ต่อ 2 ให้แพทองธาร ยุติการปฏิบัติหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากแนวคิดว่าเป็นกลไกจำเป็นต่อระบอบประชาธิปไตยที่ปกครองโดยเสียงข้างมาก แต่ก็ต้องเคารพเสียงข้างน้อยด้วย 

ดังนั้น หากเสียงข้างน้อยเห็นว่ากฎหมายหรือการใช้อำนาจใดขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็สามารถยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้

ศาลรัฐธรรมนูญไทยก่อตั้งขึ้นครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 มีเป้าหมายเพื่อสร้างองค์กรที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาททางกฎหมาย รวมถึงตรวจสอบอำนาจรัฐให้ดำเนินไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ เรียกได้ว่าเป็นองค์กรทางกฎหมายที่ยึดโยงและเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญโดยตรง

สรุปข่าว

ศาลรัฐธรรมนูญไทยมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ออกคำวินิจฉัยสะเทือนการเมือง 4 ครั้ง ได้แก่ ตัดสิน "พิธา" กรณีถือหุ้นไอทีวี ห้ามแก้มาตรา 112 ยุบพรรคก้าวไกล และให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ล่าสุดศาลมีมติ 7 ต่อ 2 ให้แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จากประเด็นคลิปเสียงกับสมเด็จฮุน เซน รวมแล้วศาลยุบพรรคการเมืองไป 3 พรรค (ก้าวไกล อนาคตใหม่ ไทยรักษาชาติ) ขณะที่คำวินิจฉัยเกี่ยวกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มักออกมาในทางที่เป็นคุณแก่เขาเสมอ

นี่เป็นอีกครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญไทย สะเทือนการเมืองไทย ด้วยการรับคำร้องกรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ปมคลิปเสียงกับสมเด็จฮุน เซน และมีมติ 7 ต่อ 2 ให้แพทองธาร ยุติการปฏิบัติหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากแนวคิดว่าเป็นกลไกจำเป็นต่อระบอบประชาธิปไตยที่ปกครองโดยเสียงข้างมาก แต่ก็ต้องเคารพเสียงข้างน้อยด้วย 

ดังนั้น หากเสียงข้างน้อยเห็นว่ากฎหมายหรือการใช้อำนาจใดขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็สามารถยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้

ศาลรัฐธรรมนูญไทยก่อตั้งขึ้นครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 มีเป้าหมายเพื่อสร้างองค์กรที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาททางกฎหมาย รวมถึงตรวจสอบอำนาจรัฐให้ดำเนินไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ เรียกได้ว่าเป็นองค์กรทางกฎหมายที่ยึดโยงและเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญโดยตรง

สำหรับกรณีล่าสุด การสั่งยุติบทบาทนายกฯ นั้น อำนาจที่ศาลใช้มาจากรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 82 วรรคสอง 

กำหนดไว้ว่า เมื่อศาลได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกกล่าวหา ศาลรัฐธรรมนูญสามารถมีคำสั่งให้สมาชิกผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย 

และเมื่อมีคำวินิจฉัยแล้ว ศาลจะต้องแจ้งคำวินิจฉัยไปยังประธานสภาที่ได้รับคำร้องตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลง ให้บุคคลนั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง

กรณี ของนายกฯ แพทองธารนั้น ถูกยื่นคำร้องโดย สว. 36 คนไปยังศาลให้วินิจฉัยตามกลไกรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 170 ซึ่งกำหนดเหตุที่ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง 

มาตรา 170 (4) ระบุว่า หากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยมาตรา 160 (4) และ (5) ได้วางหลักให้รัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง 

การวินิจฉัยเหล่านี้ ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไทยมักถูกตั้งคำถามถึงอำนาจ และขอบเขต รวมไปถึงบทบาทที่เข้ามามีส่วนในทางการเมืองมากเกินไปหรือไม่ 

กรณีเหล่านี้ ถูกเรียกว่า ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ถือว่าเป็นการที่ศาลใช้อำนาจตัดสินคดีซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่การตัดสินใจทางการเมือง 

ซึ่งหลังวิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง และการรัฐประหารในปี 2549 ที่ศาลรัฐธรรมนูญเริ่มมีบทบาทวินิจฉัยเรื่องสำคัญต่าง ๆ จนสถาบันตุลาการเอง ถูกวิจารณ์ว่าเป็นความพยายามให้ศาลไทยเป็นระบบตุลาการภิวัฒน์หรือไม่

ย้อนคำตัดสินสะเทือนการเมือง

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย “ตุลาการรัฐธรรมนูญ” มีมาตั้งแต่ปี 2489 ก่อนปี 2540 จะเปลี่ยนชื่อเป็น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีอำนาจตุลาการ ดูแลพิทักษ์กฎหมายรัฐธรรมนูญ

ซึ่งการสรรหา มีที่มาหลากหลาย และจำนวน แต่ละฉบับไม่เท่ากัน 

ชุดปัจจุบัน ปี 2560 มี 9 คน มีที่มาดังนี้

- ศาลฎีกา 3 คน

- ศาลปกครองสูงสุด 2 คน

- ผู้ทรงคุณวุฒินิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ 2 คน

- ผู้ทรงคุณวุฒิจากข้าราชการระดับสูง 2 คน

แต่ละท่าน ดำรงตำแหน่งได้ 7 ปี และต้องผ่านการเห็นชอบจาก สว. (ชุดที่แต่งตั้งในยุค คสช.) ก่อนนำเสนอทูลเกล้าฯ แต่งตั้งมาทำหน้าที่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา 

ต้องยอมรับว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใหญ่ ๆ ของประเทศไทยมาหลายต่อหลายครั้ง

โดยในปี 2567 ปีเดียว ให้การวินิจฉัยและตัดสิน สะเทือนการเมืองไปแล้ว ถึง 4 ครั้ง คือ 

24 ม.ค. 2567 : มติ 8 ต่อ 1 ชี้ พิธา “ถือหุ้นไอทีวี” ไม่พ้น สส. เพราะไอทีวี ไม่ถือเป็นสื่อ

31 ม.ค. 2567 : มติเอกฉันทร์ พิธา-ก้าวไกล แก้ ม.112 เป็นการ “ล้มล้างการปกครอง” และสั่งเลิกแก้ไขมาตรา 112

7 สิงหาคม 2567 : มติเอกฉันทร์ (9 ต่อ 0) ยุบพรรคก้าวไกล-ตัดสิทธิ กก.บห. 10 ปี 

ในคดี “ล้มล้างการปกครอง” กรณีพยายามแก้ไขมาตรา 112

14 สิงหาคม 2567 : เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการแต่งตั้งบุคคลที่ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี ทั้งที่ควรรู้อยู่แล้ว จึงเข้าข่ายขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ จนคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีนั้นสิ้นสุดลง

ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ ยุบพรรคการเมืองไป 3 พรรคแล้ว คือ พรรคก้าวไกล (2567) พรรคอนาคตใหม่ (2563) และพรรคไทยรักษาชาติ (2562)

แต่หากเป็นการวินิจฉัยเกี่ยวพันกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้เป็นคุณมาตลอด ไม่ว่าจะ คำวินิจฉัยกรณี ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์  ยังไม่สิ้นสุดลง  เพราะดำรงตำแหน่งยังไม่ครบ 8 ปี (2565) และ ไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นนายกฯ เพราะหัวหน้า คสช. "ไม่ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ" (ก.ย. 2562)

ที่มาข้อมูล : TNN Online

ที่มารูปภาพ : ศาลรัฐธรรมนูญ