แกล้งขยัน มีอยู่จริง ปัญหาของบุคคลหรือองค์กร?

ศัพท์ใหม่วงการ HR ปีนี้มีหลายคำ แต่ที่กำลังถูกหยิบมาพูดถึงกันเป็นวงกว้าง ก็คือคำว่า Fauxductivity ซึ่งมีหลายองค์กรชี้ให้เห็นถึงปัญหา และถกเถียงถึงวิธีการแก้ไข

"Fauxductivity" คืออะไร?

"Fauxductivity" (อ่านว่า โฟ-ดัค-ติ-วิ-ตี้) เป็นคำผสมระหว่างคำว่า faux ที่แปลว่า ปลอม กับ productivity ที่แปลว่า ผลิตภาพ ใช้อธิบายแนวโน้มการทำงานของพนักงาน หรือหัวหน้า ที่ดูเหมือนยุ่งหรือขยันมีอะไรให้ทำตลอดเวลา แต่ไม่มีผลงานอะไรออกมาให้เห็น หรือพูดง่ายๆ ว่า แกล้งขยัน ให้คนในที่ทำงานเห็น หรือ ต้องการได้รับการชื่นชม นั่นเอง

ใครบ้างที่มีแนวโน้มจะแสร้งทำงาน?

แนวโน้มของ fauxductivity ได้กลายเป็นเรื่องปกติที่น่าตกใจ แนวโน้มนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพนักงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้จัดการด้วย 

การศึกษาโดย Workhuman ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์และบริการบนคลาวด์ เพื่อช่วยธุรกิจสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น รายงานว่า น่าสนใจที่ว่าในกลุ่มผู้จัดการที่บอกว่าตนแสร้งทำงาน เกือบ 70% กล่าวว่าการแสร้งทำกิจกรรมเป็นปัญหาทั่วไปในทีมของตน เทียบกับกลึ่มคนที่ทำงานจริงๆ มีเพียง 37% ของพนักงานทั้งหมด

สถิตินี้ชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดี ซึ่งสามารถส่งผลเสียต่อความเป็นอยู่และผลงานของพนักงาน

Fauxductivity จึงไม่ใช่แค่ปัญหาของพนักงานเท่านั้น สิ่งนี้เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับองค์กร เพราะ fauxductivity ส่งผลกระทบต่อที่ทำงานจากบนลงล่าง ซึ่งสามารถส่งผลกระทบระยะยาวต่อวัฒนธรรมองค์กร



แกล้งขยัน มีอยู่จริง ปัญหาของบุคคลหรือองค์กร?

สรุปข่าว

Fauxductivity ใช้เรียกพนักงาน หรือหัวหน้า ที่ดูเหมือนยุ่งหรือขยันมีอะไรให้ทำตลอดเวลา แต่ไม่มีผลงานอะไรออกมาให้เห็น หรือพูดง่ายๆ ว่า แกล้งขยัน ให้คนในที่ทำงานเห็น หรือ ต้องการได้รับการชื่นชม

อะไรเป็นสาเหตุของ Fauxductivity?

ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแยก Fauxductivity ระหว่างผู้จัดการและพนักงานอย่างไร สาเหตุหลักของ fauxductivity ก็เหมือนกันทุกคน คือ

1. ปัญหาการหมดไฟ

การหมดไฟของพนักงานยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพนักงานเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการพัก นำไปสู่การหมดไฟ แทนที่จะทำงานที่มีความหมายให้เสร็จ พวกเขาอาจหันไปทำงานที่ดูเหมือนมีประสิทธิภาพ แต่มีความหมายน้อยกว่า เช่น การส่งอีเมลที่ไม่จำเป็น หรือ เข้าร่วมประชุมมากเกินไป

2. การจัดการแบบจู้จี้จุกจิกจากหัวหน้างาน

การจัดการแบบจู้จี้และเครื่องมือเฝ้าติดตามดิจิทัลสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าต้องดูยุ่งตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าการทำงานของตัวเองถูกติดตามอยู่ตลอดเวลา หลายคนจะเปลี่ยนความสนใจจากการทำงานที่มีคุณภาพไปเป็นการแสร้งว่าตัวเองกำลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตอบข้อความทันทีหรือรายงานความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ มากเกินไป

3. การจัดการโครงการ-ภาระงานที่ไม่ดี

เมื่อพนักงานมีงานมากเกินไป ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่ไม่มีความคืบหน้าในงานใดเลย ในทางกลับกัน ถ้าภาระงานน้อยเกินไปหรือไม่มีโครงสร้างที่ดี เขาก็อาจจะหันไปทำ "งานยุ่ง" เพื่อฆ่าเวลา การลดหรือเพิ่มงานที่ไม่จำเป็น นำไปสู่ fauxductivity ได้

4. ขาดความยืดหยุ่น

ตารางเวลาที่เข้มงวด โดยไม่คำนึงถึงจังหวะการทำงานและภาระส่วนตัวของแต่ละคน อาจส่งเสริมให้พนักงานเลือก "การแสดง" มากกว่าทำงานให้มีประสิทธิภาพ เพราะความรู้สึกว่าจะถูกใช้งาน พนักงานลงเอยด้วยการทำงานแบบการละคร เช่น  เข้าระบบเร็วหรืออยู่ทำงานดึก เพื่อให้ดูทุ่มเท แม้ว่าจะต้องเสียสละประสิทธิภาพที่แท้จริง

5.ขาดความปลอดภัยทางจิตใจ

วัฒนธรรมที่ทำงานที่ขาดความไว้วางใจและความปลอดภัยทางจิตใจสามารถนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า "ความวิตกกังวลเรื่อง productivity" นี่คือความกังวลว่าไม่ว่าจะทุ่มเทให้กับโครงการหรืองานมากแค่ไหน ก็จะยัง "ไม่ดีพอ" หรือ เป็น Imposter Syndrome ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพนักงานวิตกกังวลว่าคุณค่าของพวกเขาผูกติดกับผลงานเพียงอย่างเดียว พวกเขาอาจมุ่งเน้นที่การทำตัวให้ดูยุ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ แม้ว่าจะหมายถึงการแกล้งทำงานแทนที่จะจัดการกับโครงการที่มีความหมาย ที่มาพร้อมการขาดการสื่อสารแบบเปิด และการมุ่งเน้นที่ภาพลักษณ์มากกว่าผลลัพธ์ของการทำงาน 

ที่มาข้อมูล : doherty, peoplemanagement

ที่มารูปภาพ : Canva

แท็กบทความ

Fauxductivity
แกล้งขยัน
productovity
ขยันทำงาน
ชีวิตทำงาน
พนักงาน