
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4 ก.พ.) รีบาวด์ได้ในการซื้อขายภาคเช้า ก่อนจะกลับมาปิดตลาดได้ที่ระดับ1,301.02
จุด ปรับลดลง 3.37 จุด หรือ ร้อยละ 0.26 ไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย หลังตลาดคลายกังวลชั่วคราว จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีหรัฐฯ ชะลอแผนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปเป็นเวลา 1 เดือน จากดิมที่จะเริ่มจัดเก็บในอัตราร้อยละ 25 เริ่มตั้งแต่ 1 ก.พ.ปีนี้
แต่ในภาคบ่ายมีการตอบโต้จากรัฐบาลด้วยการประกาศปรับขึ้นภาษี โดยจีนเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ร้อยละ 15 และจะจัดเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์การเกษตร และรถยนต์บางประเภทอีกร้อยละ 10 โดยจะให้มีผลวันที่ 10 ก.พ. ปu 2568 เป็นต้นไป เพื่อตอบโต้หลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ร้อยละ 10
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจีน ยังออกแถลงการณ์ ระบุว่า จีนยังย้ำถึงแผนการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนร้อยละ 10 ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเป็นการละเมิดหลักเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) อย่างร้ายแรง
เท่านั้นยังไมพอ รัฐบาลจีนยังอยูระหว่างเตรียมการสอบสวนบริษัท Alphabet และ Google ซึ่งเป็นบริษัทรายใหญ่ของสหรัฐ ในประเด็นผู้ขาดตลาด รวมไปถึงนำเข้ารายชื่อ PVH Corp บริษัทโฮลดิ้ง เจ้าของแบรนด์ดัง อย่าง Calvin Klein รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ Illumina ไว้ใน "รายชื่อนิติบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ" (Unreliable entities list) ด้วย

สรุปข่าว
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เซ็นคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) เมื่อวันที่ 1 ก.พ.68 ให้เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตราiร้อยละ 25 และขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกร้อยละ 10 ข่าวนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าไทยอาจถูกเก็บภาษีสูงขึ้นจากสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯเช่นกัน เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯอยู่ในอันดับที่ 10 ในช่วง 11 เดือนของปี 67 ตามข้อมูลของ United States Census Bureau
โดยในปี 67 การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐ จึงเชื่อว่าตลาดอาจกังวลกับการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสินค้ากลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มอื่น แต่ CGSI เล็งเห็นปัจจัยบวกจากการที่ Bloomberg consensus คาดการณ์ว่าในไตรมาส 4/67 บริษัทจดทะเบียนของไทยจะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงถึงร้อยละ 33 เทียบปีก่อน และร้อยละ 24 เทียบไตรมาสก่อน ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบในตลาด
ขณะเดียวกันกลุ่มที่ Bloomberg consensus ยังมองว่ากลุ่มธุรกิจที่จะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุดเทียบปีก่อน คือ กลุ่มไอซีที, กลุ่มก่อสร้าง และกลุ่มเกษตร // ส่วนกลุ่มที่น่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุดเทียบไตรมาสก่อน คือ กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสื่อ และคาดการณ์ว่า กลุ่มปิโตรเคมีจะมีกำไรสุทธิเติบโตต่ำสุดเทียบปีก่อน และกลุ่มบรรจุภัณฑ์จะมีกำไรสุทธิเติบโตต่ำสุดเทียบไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจัยลบรุนแรงจากเศรษฐกิจโลก CGSI จึงแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้น domestic play โดยเฉพาะกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคและกลุ่มธนาคาร ซึ่งหุ้น Top pick ประกอบด้วย AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB โดยยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,530 จุด เท่ากับ P/E 15 เท่าในปี 69 หรือ -1.25SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่แนะนำอาจมี downside risk หากรัฐบาลทรัมป์ปรับขึ้นอัตราภาษีสูงกว่าคาด ,รัฐบาลไทยยังต้องให้ภาคเอกชนช่วยสนับสนุนมาตรการลดค่าไฟฟ้าและบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการอ่อนตัวในไตรมาส 4/67 แต่คำแนะนำจะมี upside risk หากมีเงินลงทุนไหลเข้ามาจากต่างประเทศและรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่
ที่มาข้อมูล : บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)
ที่มารูปภาพ : บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)