
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเติบโตไร้ขีดจำกัด "Future Thailand: Next Growth" ในงาน Chula Thailand Presidents Summit 2025 ถือเป็นคร้้งแรกของการรวมตัวสุดยอดผู้นำระดับประเทศมาแชร์มุมมองเพื่ออนาคตประเทศไทย โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ พร้อมทั้งผู้บริหารจากภาครัฐ และภาคธุรกิจชั้นนำ อาทิ ศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. นายสารัชถ์ รัตนาวดี CEO กัลฟ์ และ ประธานบริหาร AIS รวมไปถึง คณาจารย์ ศิษย์เก่าและนิสิตจุฬาฯ เข้าร่วมฟังวิสัยทัศน์กันอย่างคับคั่ง
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาฯ ได้เสนอวิสัยทัศน์ "Future Thailand: The Comprehensive View" โดยระบุว่า การกำหนดทิศทางอนาตของประเทศไทยต้องมองใน 10 เรื่องสำคัญ คือ 1.ประเทศไทยควรจะต้องวางจุดยืนทางการเมืองของภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ให้สมดุล โดยเฉพาะในยุคทรัมป์ 2.0 การกำหนดจุดยืนอนาคตของไทยในปีนี้จึงยิ่งสำคัญ และต้องผนึกกำลังสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วน และควรจะต้องตั้ง "ผู้แทนพิเศษ" ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากหลายส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนไปเจรจาต่อรองกับผู้นำประเทศเพื่อเปิดประตูให้กับไทยในการขยายโอกาส เพราะในตอนนี้การเจรจาเป็นการต่อรองแบบข้ามภาค รวมไปถึงการจับมือกับอาเซียนเพื่อหนุนการลงทุน การค้าและต้องมองมิติความมั่นคงร่วมด้วย 2. การเตรียมความพร้อมในการรับการปั่นป่วนของเทคโนโลยี AI การเปลี่ยนแปลงของประชากร การเกิดโรคระบาดใหม่และปัญหาสิ่งแวดล้อม 3.การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นการสร้างการเติบโตทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมองว่า "การปรับตัว" รับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ประเด็นที่ 4. ส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นจุดแข็งของไทย ซึ่งทางจุฬาฯ สามารถที่จะจับมือกับภาคเอกชนในการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าว 5.ความมั่นคงทางอาหาร และสุขภาพ 6.ความมั่นคงทางด้านพลังงาน 7. ปฏิรูปการศึกษาคงไม่พอแต่ต้องยกเครื่องทางการศึกษา บัณฑิตต้องคิดเชิงวิเคราะห์ได้ สถาบันการศึกษาต้องสร้างคนให้มีประสบการณ์ 8.ยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย 9. ต้องปฏิรูประบบราชการ เพื่อตอบสนองกับความปั่นป่วนของโลก และ 10.ไทยต้องออกจากกับกัดรายได้ปานกลางด้วยนวัตกรรม ผ่านความรู้และการสร้าง R&D โดยรัฐต้องจัดสรรงบประมาณส่งเสริม

สรุปข่าว
ขณะที่ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอหัวข้อ "Future Thailand: Future Education" โดยมองว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยของจุฬาฯ ไม่เพียงแต่ให้การศึกษา แต่คือ "การสร้างคน" ต้องสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ให้ดีกว่าเดิม คือต้องเป็นคนพันธุ์ใหม่ที่มีอนาคตรอบด้าน การจัดงานครั้งนี้ จึงเป็นการผนึกกำลังกันของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ที่จะปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้ไม่เหมือนเดิม ผ่านรูปแบบการศึกษาที่จะต้องสร้างความเข้าใจ บทบาทของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนไปไม่ใช่การให้ปริญญาเท่านั้น แต่ต้องสร้างคนให้เกิดการคิดวิเคราะห์เป็น มีทักษะแห่งอนาคตที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้บทบาทของมหาวิทยาลัยจึงไม่เพียงแค่ให้ความรู้ แต่ต้องทำให้ประเทศดีขึ้นด้วย ด้วยการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศผ่านการปรับหลักสูตรให้รองรับคนทุกวัย มีการบูรณาการศึกษา ความรู้จะต้องตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องปรับบทบาทของผู้เรียนเป็น "Global Citizen & Global Leader" ซึ่งจะทำให้สร้างการเข้มแข็งบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
ด้านนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เสนอวิสัยทัศน์ในหัวข้อ ""Future Thailand: Next Growth" โดยยืนยันว่า ประเทศไทยเศรษฐกิจมีอนาคตที่แจ่มใส แม้ว่าเราจะอยู่ในโลกที่ปั่นป่วน แต่เชื่อมั่นว่า "ในทุกวิกฤตมีโอกาส" โดยเฉพาะการผลักดันการท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่จะนำเงินเข้าประเทศได้เร็วที่สุด สิ่งที่ฝากรัฐบาลคือต้องมีงบประมาณที่มาสนับสนุนและมีเป้าหมายให้ชัด ขณะเดียวกันมองว่าโลกปั่นป่วนทั้งด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการเข้าสู่ยุคเอไอ ธุรกิจด้านพลังงานสะอาดและพลังงานนิวเคลียร์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ประเทศไทยยังขาดไฟฟ้าที่สะอาดและราคาถูก จึงควรต้องผลักดันเรื่องนี้ด้วย
ประธานอาวุโส มองว่า ประเทศไทยยังได้เปรียบเรื่องของ "การเกษตร" ควรมีงบประมาณมาจัดสรรที่ดิน สร้างถนนเข้าไร่นา พร้อมเน้นย้ำว่าจะต้อง "สร้างระบบชลประทาน" มีการจัดการเรื่องน้ำที่เป็นระบบและทั่วถึง ซึ่งจะทำให้รับมือกับภาวะน้ำท่วมและแล้งให้ดีขึ้น พร้อมทั้งจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ดังนั้น เมืองไทยยังเต็มไปด้วยโอกาสทางด้านการเกษตร ซึ่งควรต้องสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เช่น ร่วมมือนักวิชาการจากจุฬาฯ ทำการศึกษาและวิจัยพัฒนาพันธุ์พืช ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น โดรน หุ่นยนต์ เอไอ เพราะการเกษตรจะดีได้ต้องมีเทคโนโลยีไฮเทคที่สนับสนุนด้วย ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่จะต้องผลักดัน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเกษตร เพราะ "สินค้าเกษตรคือน้ำมันบนดิน" เป็นทรัยพย์สมบัติที่ล้ำค่าของประเทศไทย หากทำได้จะยิ่งสร้างโอกาสด้านการเกษตรไปถึงธุรกิจอาหาร และธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง
นายธนินท์ เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่จะผลักดันอนาคตของประเทศไทยให้เติบโตคือ "การสร้างคน" เป็นเรื่องใหญ่ พร้อมมองว่า "การศึกษาไม่ใช่ปริญญาแต่คือปัญญา" สถาบันการศึกษาจึงต้องพัฒนาคนให้รองรับการเปลี่ยนแปลง ยกกรณีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เป็นสถาบันการศึกษาอันดับต้นของประเทศในการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตามเมืองไทยยังผลิตคนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดแรงงาน จึงมองว่าควรมีการดึงคนเก่งจากทั่วโลกมาลงทุนและทำงานที่ไทย ประมาณ 5 ล้านคน มาช่วยประเทศไทยสร้างธุรกิจใหม่ๆ และทำให้คนไทยเก่งไปด้วย ซึ่งจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ โดยภาครัฐ ควรมีนโยบายและกฎหมายที่เอื้อต่อการดึงคนเก่งเข้ามาลงทุนและทำงานที่ไทย เพราะเราสร้างคนไม่ทันต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจึงจำเป็นต้องเรียนรู้จากคนเก่งทั่วโลก และจะทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศมากขึ้น ฉะนั้นประเทศไทยต้องเปิดกว้างและมีนโยบายที่เอื้อหนุนในเรื่องดังกล่าว
"การทำธุรกิจให้อยู่รอดได้ ต้องคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ต้องทำให้ลูกค้ามีรายได้ มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักธุรกิจในการสนับสนุน แต่ต้องมีพื้นฐานความรู้จากสถาบันการศึกษาในการสร้างคน และรัฐบาลมีหน้าออกกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาและสร้างอาชีพ" นายธนินท์ กล่าวพร้อมระบุว่า การทำธุรกิจของเครือซีพี ผู้บริหารและพนักงานทุกคนจึงยึดหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะไปลงทุนที่ประเทศใด ประเทศและประชาชนต้องได้ประโยชน์สูงสุด และสุดท้ายถึงจะเป็นประโยชน์ขององค์กร
ทั้งนี้นายธนินท์ ย้ำปิดท้ายอีกว่า "ประชาชนจะร่ำรวย ประเทศจะพัฒนา จำเป็นต้องพึ่งพามหาวิทยาลัย โดยภาคธุรกิจเป็นผู้ส่งเสริม ภาครัฐบาลปรับกฎหมายให้เอื้อให้กับการพัฒนา ประชาขนก็จะอยู่ดีกินดี ประเทศชาติก็จะมั่นคง"
ที่มาข้อมูล : เครือเจริญโภคภัณฑ์
ที่มารูปภาพ : เครือเจริญโภคภัณฑ์